ผู้สนับสนุน

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โผล่แฉ !!! หีบบางกะปิ ถูกเปิดก่อนมาถึงเขตฯชาวบ้านโวย

 

คลิปแฉ โกงเลือกตั้ง ทยอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ล่าสุดเขตบางกะปิ หีบบัตรจากหน่วยเลือกตั้งตรงข้ามสำนักงานเขตแค่ข้ามถนน กลับใช้เวลาเดินทางมาเขตถึง ๔ ชั่วโมง และสภาพกล่องโดนงัดแวะ เทปกาวฉีกขาดลายเซ็นหาย
เมื่อหีบบัตรมาถึง ปรากฏว่าหีบที่นำมาส่ง เลขที่ ๙๑ มีรอยเทปกาวถูกฉีกขาด ลายเซ็นขาดกระจุย และใชัเวลาเดินทางจากเวลา ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๙.๐๐ น. เมื่อเริ่มนับคะแนน ปรากฏว่า หลักเกณฑ์การนับคะแนนปรากฏว่าประชาชนเห็นแย้งในหลายจุด เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศว่าบัตรเสีย ประชาชนที่มาเป็นพยานดูการนับก็ค้านว่าน่าจะเป็นบัตรดี

แม้การ นับคะแนนจะจบไปแล้วด้วยชัยชนะแบบเฉียดฉิว แต่ประชาชนเจ้าของหน่วยเลือกตั้งกลับสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับหีบนับคะแนนที่ ๙๑ ที่มาช้ากว่าสี่ชั่วโมง มีรอยงัดแงะ เทปปิดหีบฉีกขาด เชือกมัดหีบขาด แต่ไม่มีคำตอบใดๆจากสำนักงานเขตบางกะปิ

"แฉจะๆ ถุงใส่บัตรเลือกตั้งผี"

 
รายการโกงการเลือกตั้งจากการชนะถล่มทลายของพรรค ปชป.นั้น มีกลิ่นการโกงการเลือกตั้งมาเป็นระยะ จนมีคลิปการโกงการเลือกตั้งออกมาจนได้

แหล่ง ข่าวได้แจ้งข่าวมาดังนี้ "วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ผอ.ศูนย์การเลือกตั้ง ส.ก.เขตบางบอน เข้าแจ้งอายัดถุงใส่บัตรเลือกตั้ง ที่มาการนำมาให้รวมกองเพื่อนับคะแนนโดยมีเจ้าหน้าที่หิ้วถุงมาให้โดยไม่ได้ เปิดออกมาจากหีบที่ส่งมาจากหน่วยเลือกตั้ง พอจับได้เจ้าหน้าพาถุงบัตรลงคะแนนหนีไป เอาถุงที่มีบัตรไว้ได้เพียงสองถุงเท่านั้นเป็นตัวอย่าง จะมีหลักฐานที่ถ่าย VDO ไว้มานำเสนอต่อไปว่ามีการนำถุงบัตรเลือกตั้งวิ่งหนีไปจริง
 สังเกตในคลิปเห็นว่า คนที่ถือบัตรมานั้น ปกติ ต้องใส่กล่อง มีเอกสารแนบว่ามาจากใหนหน่วยใด ใครนำมาส่ง แต่นี่ปรากฏว่าชายหญิงสองสามคน ใส่ชุดข้าราชการ ถือถุงใสใส่บัตรกันมาคนละถุงสองถุงมาส่งให้โดยไม่มีเอกสารแนบ หน้าตางงๆ พอถามว่ามาจากหน่วยใหนอ่ะอะก็ไม่ตอบ ไม่มีเอกสารใดๆ

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อไทยโชว์ภาพถ่าย"ทศพล"ทีมสู้คดียุบปชป.แอบรับเอกสารจากจนท.ศาลรธน.

เพื่อไทยโชว์ภาพถ่าย"ทศพล"ทีมสู้คดียุบปชป.แอบรับเอกสารจากจนท.ศาลรธน.
[Image: 083q.jpg]

เพื่อไทยโชว์ภาพถ่าย"ทศพล"ทีมสู้คดียุบปชป.แอบรับเอกสารจากจนท.ศาลรธน. อ้างผู้หวังดีส่งมา


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถงลว่า ในวันที่30 สิงหาคมนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการนัดไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้องนัดที่สาม 4 ปากในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรค การเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ทั้งนี้คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพท.ที่ติดตามคดีดังกล่าวทราบข้อมูลมาว่ามี นักการเมืองอักษรย่อ "ส." ได้พยายามใช้อำนาจล็อบบี้พยานปากสำคัญ เพื่อให้กลับคำให้การในชั้นศาลรัฐธรรมนูญและให้พยานบางคนไม่เข้าให้การเป็น พยาน โดยใช้เงินจำนวนถึง 30 ล้านบาท เพื่อดำเนินการดังกล่าว


นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า กรณีที่มีการกล่าวหาว่าตนได้ทำหนังสือและแถลงข่าวกรณีนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมทนายความต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปรับเอกสารนอกเวลาทำการศาล รัฐธรรมน​ูญว่าไม่เป็นความจริงและกล่าวหาตนมีเจตนาโกหกและทำลายพรรคประชา ธิปัตย์และศาลรัฐธรรม​นูญ ถือเป็นการโกหกคำโตของนายวิรัตน์ โดยวันนี้ตนมีหลักฐานที่นายทศพลไปรับเอกสารบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับคดียุบ พรรคจาก น.ส.พรพินี ปลูกเจริญ เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญระดับ 5 กลุ่มงานคดี 8 ภายนอกที่ทำการศาลเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน เวลาประมาณ 08.30 น. ซึ่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีดังกล่า​วตามคำสั่งลับที่ 57/2553แล้ว


"กระทั่งมีผลการสอบสวนออกมาเป็นคำสั่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ 68/2553 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพบว่าน.ส.พรพินีเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการจึงมีมูลอันควรกล่าวหาว่ากระทำ ผิดวินัย และมีการลงนามโดยนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ"นายพร้อมพงศ์กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ได้นำภาพถ่ายแสดงให้สื่อมวลชนดูโดยเป็นภาพที่น.ส.พรพินีและ กำลังส่งมอบเอกสารบางอย่างให้นายทศพลขณะกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ภายในโ​ รงอาหารศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ซึ่งนายพร้อมพงศ์ยืนยันว่าเป็นเวลานอกราชการของเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน โดยมีผู้หวังดีนำส่งมาให้นายพร้อมพงศ์และจะนำหลักฐานดังกล่าวไว้ยืนยันด้วย หากนายทศพ​ลจะฟ้องร้องนายพร้อมพงศ์

ฮีโร่ออสซี่กลับถึงบ้าน ลั่นไม่เสียใจถูกยัดคุก ภูมิใจได้ช่วยเสื้อแดงสื่อเจตจำนงการชุมนุมกับนานาชาติ


ชาวออสเตรเลียที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศไทย เพราะเข้าร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาล กล่าวขณะเดินทางกลับถึงออสเตรเลียว่าเขาไม่เสียใจที่ถูกจับกุมคุมขังนาน 89 วัน โดยถูกกล่าวหาละเมิดกฎหมายประกาศฉุกเฉินห้ามชุมนุมกันทางการเมือง และภูมิใจที่ได้เข้าร่วมกับเสื้อแดง เพราะเขาได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับสื่อมวลชนต่างประเทศให้รู้ถึงเจตจำ นงค์ของผู้ประท้วง ทั้งนี้จากรายงานของสำนักข่าวAAP-Australian Associated Press

นายConor David Purcell จากเมืองเพิร์ธ ถูกส่งตัวมาที่ศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง หลังจากที่สัปดาห์ก่อนศาลไทยตัดสินว่าเขากระทำผิด ละเมิดพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากเขาเข้าร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมปีนี้

นายPurcell เป็นชาวไอริชโดยกำเนิด อายุ30 ปี ถูกทางการไทยจับกุมเมื่อวนที่ 23 พฤษภาคม ภายหลังรัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม และถูกปฏิเสธให้ประกันตัว และถูกคุมขังเป็นนักโทษเป็นเวลา 89 วัน

แต่ นาย Purcell ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวAAPว่า เขาไม่เสียใจต่อบทบาทในการเข้าร่วมประท้วงรัฐบาลไทย แม้จะต้องลงเอยด้วยการถูกจับกุมคุมขังก็ตามที

"ไม่แน่นอนไม่ (ไม่เสียใจ) คนเสื้อแดงมีความจำเป็นต้องมีคนที่พูดภาษาอังกฤษกับสื่อต่างประเทศ"เขากล่าว และนั่นเป็นบทบาทที่เขาภูมิใจ

เมื่อ วันศุกร์ก่อน ศาลไทยตัดสินให้เขามีการกระทำผิดละเมิดพระราชกำหนดห้ามชุมนุมเกินห้าคน โดยตอนแรกเขายืนหยัดจะต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุด แต่ญาติมิตรของเขาได้ขอร้องให้สารภาพว่าทำผิดกฎหมายฝ่าฝืนประกาศฉุกเฉินร่วม ชุมนุมและขึ้นเวทีนปช. ศาลจึงสั่งลงโทษจำคุก 45 วัน แต่เนื่องจากติดคุกมาแล้ว 89 วันจึงสั่งปล่อยตัว

นาย Purcell กล่าวว่าเขาเคยเป็นทหารเก่าในหน่วยกำลังสำรองกองทัพออสเตรเลีย มีสุนทรพจน์ของเขากล่าวต่อฝูงชนผู้ประท้วงเสื้อแดง และถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยผู้นำการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และมีรายงานการเข้าร่วมประท้วง และขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยของเพอร์เซลในสื่อไทยด้วย

ผู้พิพากษาได้ตัดสินปล่อยตัว และนาย Purcellจึงถูกเนรเทศออกนอกประเทศไทย

นาย Purcell กล่าวว่าเขาโกรธเคืองที่กองทัพไทยเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอย่าง สันติในวันที่ 19 พฤษภาคม แต่การกล่าวหาว่าเขาไปยั่วยุให้คนเสื้อแดงก่อความรุนแรงนั้นไม่จริง "คนเสื้อแดงอาจจะรู้จักผมดี แต่ผมไม่รู้จักพวกเขา และไม่รู้จักแกนนำวงในของฝ่ายประท้วงเสื้อแดง"

รัฐบาลไทยกล่าวหาว่า มีกลุ่มที่นิยมความรุนแรงภายกลุ่มเสื้อแดงขอเรียกร้องอย่างเกินขอบเขตการ ประท้วงอย่างสันติ เพื่องบีบบังคับให้รัฐบาลต้องลาออก

นาย Purcell กล่าวว่าเขาได้รับการเล่าจากคนแปลกหน้าว่าได้มีการเตรียมการ"เผาอาคาร(เหล่านี้)ลง"ด้วย

ทั้ง นี้มีความพยายามกล่าวหากันไปมา โดยฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาว่าฝ่ายผู้ประท้วงเตรียมการเผาอาคารหากการชุมนุมยุติลง ด้วยการปราบปราม ส่วนฝ่ายผู้ชุมนุมก็อ้างว่า เหตุการณ์เผาทำลายอาคารเกิดขึ้นภายหลังยุติการชุมนุมและฝ่ายรัฐบาลเข้าควบ คุมพื้นที่ไว้แล้ว และก่อนหน้านั้นมีข่าวว่าฝ่ายรัฐบาลหรือนักรบศรีวิชัยจะเผาห้างเพื่อโยนความ ผิดให้เสื้อแดง

สามเดือนของการประท้วงรุนแรงขึ้น นำไปสู่การตายจำนวน 91 ศพทั้งพลเรือนและทหาร อีกกว่า 1,900 คนได้รับบาดเจ็บในความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในเกือบ 20 ปี และมีกว่า 40 อาคารถูกไฟไหม้จากน้ำมือพวกลอบวางเพลิง

นาย Purcell กล่าวว่ายังคงยากที่จะอธิบายภาพที่ชัดเจนของกิจกรรมการประท้วงในช่วงที่ผ่านมานี้

"ยังช็อกอยู่ มันยากที่จะเข้าใจข้อเท็จจริง"เขากล่าว

นาย Purcell ทำงานในกัมพูชาและไทย เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ กล่าวว่าเขายังมีฝันร้าย และจะแสวงหาการรักษาพยาบาลในประเทศออสเตรเลีย

เขากล่าวว่าเขายังหวังที่จะกลับไปยังภูมิภาคนั้น และมีแผนการจะก่อตั้งมูลนิธิการกุศล

แต่อันดับแรกก็คือเขาต้องกลับบ้านที่เพิร์ธ ออสเตรเลียก่อน

"ผมจะกลับไปหาครอบครัวและเพื่อน ๆ และพักผ่อน"เขากล่าว

"ผมยังรู้สึกสุขภาพดีมาก"เขาตอบคำถามผู้สื่อข่าว

แม้ เขาจะมีประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์หลายอย่างในเมืองไทย แต่Purcellกล่าวว่า สิ่งที่ได้เห็นภายใต้ระบบการเมืองของไทยคือ ความอบอุ่น ความกล้าหาญ และความจริงใจของประชาชนไทย

นาย Purcellจะได้กลับบ้านสัปดาห์หน้า และได้รับการจัดเที่ยวบินกลับไปเพิร์ธ หลังจากที่เขาต้องถูกขังคุกนานกว่า 3 เดือนในประเทศไทย


ก่อนหน้านี้ฝรั่งเสื้อแดงชาวอังกฤษอีกราย คือนายเจฟฟ์ ซาเวจ ซึ่งทางการไทยจ้องเล่นงานหนักหาว่าเขาชวนผู้ชุมนุมไปเผาห้างฯในช่วงชุมนุม แต่เพราะอังกฤษยังเป็นที่เกรงใจของชนชั้นนำไทย ได้มีการจัดแจงให้เขาสารภาพผิดเพียงข้อหาร่วมชุมนุมฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน และปล่อยตัวเนรเทศ

ซึ่งเขากล่าวทิ้งท้ายก่อยนอำลาแดนเถื่อนว่า"ผม หวังว่าจะเกิดความยุติธรรมขึ้นในเมืองไทย ไม่เฉพาะกับเสื้อแดง แม้แต่กับเสื้อเหลืองด้วย และทุกๆสีเสื้อ ผมหวังไว้อย่างนั้น"

ลุงปลาทู

ลุงสอ นายธงไชย เหงวียน หรือลุงปลาทู ที่ขายปลาทู และรับทอดให้ฟรีด้วย ขายทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยง แต่ตั้งแต่ได้รับการบาดเจ็บครั้งนี้ ทำให้คนเสื้อแดงมาช่วยอุดหนุนกันจนขายหมดราว ๆ 10 โมงเช้า 

ลุงขายที่ตลาดยงเจริญ อ่อนนุช 46 ลุงเล่าให้ฟังว่า เมื่อย้ายมาชุมนุมที่ราชประสงค์ “ขายของเสร็จผมก็จะมาร่วมชุมนุม โดยเดินทางผ่านทางบ่อนไก่เป็นประจำทุกวัน

จนวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ผมเดินทางในเส้นทางเดิมแต่เขาบอกว่าเข้าไม่ได้แล้ว และมีคนบอกว่ามีการยิงกันทาง สน.ลุมพินี ผมก็ได้ขี่รถไปดู ก็อยากรู้และอยากหาทางไปที่ราชประสงค์

เมื่อไปถึงบริเวณ สน.ก็จอดรถลงมายืนสังเกตการณ์ฝั่งตรงข้าม สน. ตอนนั้นผมยืนอยู่ใกล้กับนักข่าวฝรั่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นนักข่าวชาวแคนาดา ได้ยินเสียงปืนดังก็นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ นักข่าวฝรั่งซึ่งก็กำลังนั่งถ่ายรูปอยู่ ผมเห็นนักข่าวฝรั่งโดนยิงล้มลงเห็นว่ามีแผลเลือดออกที่ท้อง

ขณะจะ ช่วยผมก็รู้สึกเจ็บที่สะโพกข้างซ้ายก่อน ต่อมาก็รู้สึกเจ็บมากทั้งสองข้างจนนอนลง เมื่อเสียงปืนซาลงก็มีพลเมืองดีไม่ทราบเป็นใครเหมือนกันเข้ามาช่วยผม ผมบอกให้เขาไปช่วยนักข่าวฝรั่งก่อน เพราะผมคิดว่าอาการเขาต้องหนักกว่าผมแน่ ๆ เพราะเขาโดนยิงท้องเลือดเต็มเลย มองเห็นกองเลือดกองใหญ่ และตอนนั้นก็ยังคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นอะไรมาก

จน มีคนมาช่วยยกร่างผมเข้าไปที่สนลุมพินี เพื่อรอรถพยาบาล ผมต้องนอนคว่ำหน้ารู้สึกเจ็บสะโพกมาก เริ่มรู้แล้วว่าเลือดผมออกมากเหมือนกัน มีคนมาขอให้ผมถอดเสื้อแดงออก ผมไม่ยอม” จนผมตะโกนว่า “ขอให้คนเสื้อแดงต่อสู้ต่อไป” ก็ไม่มีใครมาให้ผมถอดเสื้ออีกจนมีรถมารับผมไปส่งที่ รพ.กล้วยน้ำไท

โดย ปกติลุงสอขายปลาทูตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยง แต่นับจากที่ลุงโดนยิงกลับมาครั้งนี้ มีพี่น้องเสื้อแดงได้มาช่วยอุดหนุนซื้อปลาทูลุง จนบางวันไม่ถึง 10 โมงเช้าก็ขายหมดแล้ว

ถามคนซื้อส่วนใหญ่บอกว่า ปลาทูทอดเป็นอาหารที่ชอบกินอยู่แล้ว และที่เลือกซื้อเจ้าลุง นอกจากปลาตัวโตรสชาติดีแล้ว ยังสงสารไม่อยากให้ลุงยืนหรือนั่งนาน ๆ เพราะรู้ว่าลุงยังคงเจ็บปวดอยู่ แต่ก็ต้องมาทำกินหาเลี้ยงชีวิตของตนต่อไป การมาอุดหนุนลุงนอกจากอุดหนุนพี่น้องเสื้อแดงด้วยกันแล้ว ยังรู้สึกอิ่มใจเหมือนได้ทำบุญให้ลุงไม่ต้องฝืนยืนมากจนเกินไป ระดับชาวบ้านอย่างเราก็คงช่วยกันได้เพียงเท่านี้

ปลาทูแสนอร่อย พิสูจน์มาแล้ว.. ได้ถามลุงว่า หากมีใครมาถามว่าไปร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงได้อะไร ลุงตอบว่า
ผม บอกว่าได้ความเหนื่อยไง เหนื่อยสุด ๆ ไปทีไรมีแต่เสียเงิน ทั้งค่าเดินทาง ค่ากิน ใครที่บอกว่าไปชุมนุมเสื้อแดงบอกว่าได้เงิน ก็ช่วยบอกหน่อยว่าได้เงินจากใครที่ไหน เพราะผมไปมาหลายปีมีแต่เสียเงิน เสียเวลาทำกินอีก แต่ผมก็จะไปเพราะผมชอบที่คนเสื้อแดงออกมาต่อสู้เรียกร้องเรื่องประชาธิปไตย และความเป็นธรรม


ตอนเช้าวันที่ 15 มีตำรวจจาก สน.ประเวศ มาขอสอบปากคำผม บอกผมว่าเขาต้องมาตามหน้าที่ ผมก็บอกว่าผมโดนยิงที่ สน.ลุมพินี เขาก็ยังให้ผมเล่าว่าผมจะไปไหน โดนยิงได้อย่างไร ผมก็เล่าตามจริงไป เขาให้ผมลงชื่อในบันทึกประจำวันของ สน.ประเวศผมก็ลงชื่อให้ ผมนอนรักษาตัวที่ รพ.วิภาราม 1 สัปดาห์ตามเกณฑ์ของประกันสังคม หลังจากนั้นก็กลับมานอนที่บ้านต่ออีก 2 วัน

ผม จึงให้เพื่อนพาไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.ลุมพินี เพื่อไปลงบันทึกประจำวันจะได้ทำเรื่องขอการเยียวยาช่วยเหลือตามที่ได้รับ แจ้งว่าต้องมีบันทึกประจำวันจาก สน.ที่เกิดเหตุ เขาก็ลงประจำวันให้ดี แต่ต่อมามีตำรวจอ้างว่าโทรจาก สน.ลุมพินีโทรมาบอกผมว่า ลุงมีปัญหานะ ศอฉ.ให้ทำคดีว่าลุงไปร่วมชุมนุมเกิน 5 คน ให้ไปทำบันทึกปากคำ

ผม ก็ว่าผมไม่ไปหรอก ก็ตำรวจ สน.ประเวศ เคยมาสอบปากคำผมและบันทึกไว้แล้ว ก็ใช้อันนั้นแล้วกัน ผมยังเจ็บอยู่จะให้ไปโรงพักบ่อย ๆ ไม่ไหวหรอก ก็ไม่มีการติดต่อมาอีก ผมได้นำบันทึกประจำวันไปยื่นเรื่องขอรับการเยียวยาจากที่ต่าง ๆ ผมได้รับเงินช่วยเหลือจาก สำนักพระราชวัง 8 พันบาท พรรคเพื่อไทยผมก็ไปยื่นเรื่องแล้ว ยังไม่ได้รับเงิน ที่อื่น ๆ ที่ยื่นก็ยังไม่มีการติดต่ออะไรมาเช่นกัน ผมก็รอดูอยู่

ก่อนจากกัน ลุงถามว่า น้องเป็นนักข่าวสำนักไหนหรือเปล่า บอกว่าไม่ใช่ลุง เป็นประชาชนคนเสื้อแดงนี่แหละ แต่ก่อนก็ไม่ได้เป็น พอมาช่วยดูเรื่องคนเจ็บคนตายจนโดนกระชับพื้นที่ทางความคิดกันมากเลยประกาศ ตัวเป็นคนเสื้อแดงเลย ลุงหัวเราะชอบใจแล้วบอกว่า โธ่ นึกว่าเป็นนักข่าวอยากบอกอะไรหน่อย ก็บอกลุงว่าลุงอยากฝากอะไรถึงนักข่าวก็ฝากได้นะ พอรู้จักกันบ้าง จะส่งข้อความจากลุงไปให้

ลุงเลยฝากถามว่า
“ทำไมสื่อมวล ชนไม่ค่อยลงเรื่องคนเจ็บเลย และไอ้ที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีผู้ก่อการร้ายหรือชายชุดดำมายิงทหาร มายิงคนตายนะมันเป็นเรื่องตลก มันน่าเบื่อหน่ายมากที่ต้องมาฟังรัฐบาลและ ศอฉ. แถลงข่าวโกหกไปวัน ๆ สำหรับผมและชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป รู้สึกเหมือน ๆ กันว่า การทำมาหากินทุกวันนี้ไม่ค่อยดี ใครว่าดีก็ดีไปแต่เราหากินได้แค่พอใช้จ่ายไปวัน ๆ ผมมองว่าประเทศนี้ไม่มีแล้วซึ่งความยุติธรรม วันนี้ คนเสื้อแดงโดนข่มเหงไล่ล่า รัฐบาลอย่าคิดว่าจะกดหัวคนจำนวนมากได้อย่างนี้ตลอดไป หากยังทำเช่นนี้นาน ๆ มันก็อาจระเบิดได้เหมือนกัน


และผมก็หวังว่าสักวันเราต้องเอาคืน !!!!!!!!!

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดำทั้งแผ่นดินคึกคักเบิร์ธเดย์นายพลอาวุโสเปรม



นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดระบอบอำมาตย์ได้เข้าอวยพรวันเกิดครบรอบ 90 ปีของนายพลอาวุโสเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งเคยกล่าวเชียร์เขาว่า"คนไทยโชคดีที่ได้นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ"เมื่อ ค่ำวันนี้ โดยห้ามสื่อมวลชนตามเข้าไปทำข่าว

เสื้อแดงแต่งดำที่อิมพีเรียลลาดพร้าว-บรรยากาศคนเสื้อแดงแต่งดำเสวนา 2 ปี 2 มาตรฐานที่อิมพีเรียล ลาดพร้าวช่วงบ่ายวันนี้ ที่นั่งเต็ม จนต้องตีตั๋วนั่งตั๋วยืน (ดูภาพกิจกรรมทั้งหมด)




นปช.เชียงใหม่แต่งดำหน้าศาลากลาง แถลงโวยรัฐสองมาตรฐาน ร้องปล่อยตัวแกนนำ





สำนักข่าวประชาธรรม รายงานว่า ที่จังหวัดเชียงใหม่ วันนี้ ( 26 ส.ค. 53 )เวลา 10.00 น. นปช.เชียงใหม่ กว่า 100 คนรวมตัวหน้าศาลากลางจ.เชียงใหม่เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแกนนำ นปช.ที่ถูกจับกุมและยื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อรัฐบาลให้มีการดูแลประชาชนในทุก ด้านเป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ใช่เป็นสองมาตรฐานที่จะสร้างแต่ความแตกแยกใน สังคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการชุมนุมครั้งนี้ทางกลุ่ม นปช.ได้ร่วมกันแต่งชุดดำพร้อมผูกผ้าแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม มีการทำกิจกรรมเลียนแบบห้องขังในเรือนจำ พร้อมผูกผ้าดำไว้อาลัยที่ห้องขังจำลอง พร้อมกันนั้นทางตัวแทนกลุ่ม นปช.เชียงใหม่เข้ายื่นหนังสือและแถลงการณ์ต่อนาย ชุมพร แสงมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งรองผู้ว่าฯรับเรื่องและรับปากว่าจะส่งต่อขึ้นไปให้นายกรัฐมนตรีตาม กระบวนการ

นายศรีวรรณ จันทร์ผง ตัวแทนกลุ่ม นปช.กล่าวว่าการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้มีจุดประสงค์หลัก 2 เรื่องคือ อยากให้รัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต้องปฏิบัติกับประชาชนให้เป็นมาตรฐานเดียวกันคือเราจะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรมีการเคลื่อนไหวในช่วงภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ก็ไม่ถูกจับไม่ถูกดำเนินคดี แต่ต่างกันกับกลุ่ม นปช.ที่แม้จะถูกสลายการชุมนุมแต่ก็ถูกตามกวาดล้างตามจับอยู่ตลอด

ใน อีกเรื่องก็อยากให้มีการปล่อยตัวแกนนำ นปช. ให้ออกจากที่คุมขังก่อนเพื่อให้มีการดำเนินคดีความตามกระบวนการทางกฎหมาย อย่างยุติธรรม ให้มีโอกาสในการสืบค้นหาพยานหลักฐานมาแก้ต่างในคดี

นายศรี วรรณ กล่าวต่อว่าการออกมาใส่ชุดดำในวันนี้เพราะวันนี้เป็นวันเกิดบุคคลสำคัญคน หนึ่งในประเทศไทยซึ่งเราก็รู้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดเกิดจากการปฏิวัติซึ่ง คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้ก็คือต้นเหตุของปัญหา จึงเลือกแต่งชุดดำในวันนี้เพื่อไว้อาลัยถึงเหตุการณ์และต้นเหตุของปัญหา พวกเราจึงอยากฝากให้กระบวนการยุติธรรมต้องเป็นธรรมทุกภาคส่วนและการกำหนด นโยบายต่าง ๆต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย


แถลงการณ์ศูนย์ประสานงานกลาง นปช. แดงเชียงใหม่
" วันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ "


วัน ที่ 26 ส.ค. ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษในวันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว วันที่ 26 ส.ค. 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้บุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่งสร้างความเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้ ความเสียหายที่ร้ายแรงเหล่านี้ นำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรง จนนำมาสู่ปัญหาสองมาตรฐานของสังคมไทยและเป็นเหตุนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อสู้ ของกลุ่มคนเสื้อแดง จนในที่สุดจบที่โศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ ที่สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 19 พ.ค. 2553 จนถึงทุกวันนี้การดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีความคืบหน้าแต่กลับถูกปกปิด ไม่มีการดำเนินคดีใด ๆ และยังมีการแตะถ่วงคดีต่างๆ โดยการโอนเข้าไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เห็นว่ามีพฤติกรรมเลือกข้าง มีอคติ และรับใช้ทางการเมืองมากกว่าการดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม บรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตร ฯ ยังแสดงบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองรวมทั้งเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรไปชุมนุมหน้ากองทัพภาค 1 กดดันให้รัฐบาล ผลักดันชาวกัมพูชาตลอดแนวชายแดนไทยและเรียกร้องให้ยกเลิก เอ็ม โอยู43 ทั้งที่รัฐบาลยังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอยู่

แตกต่างจากการชุมนุม ของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ ที่ต่อมามีการจับกลุ่มดำเนินคดีแกนนำ นปช. 25 คนและไล่จับแกนนำอื่น ๆ กว่า 400 คน ทั้งที่หลายคนป็นความผิดเล็กน้อย เช่น ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลสั่งลงโทษสถานหนักให้จำคุกทันที ส่วนความผิดของกลุ่มพันธมิตรฯ ในข้อหาพยายามฆ่าตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ ศาลลงโทษสถานเบารอลงอาญา ถือว่าสองมาตรฐานกลายเป็นความอัปยศในแผ่นดินไทย นำมาซึ่งความรุนแรงในสังคมไทยและสร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนคนไทย ทั่วทั้งประเทศ

ดังนั้นจึงถือว่า "วันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ" เพราะเป็นวันแห่งต้นกำเนิดความขัดแย้งของสังคมไทย จนนำมาสู่ความยุติธรรมอำมหิตในสังคมไทยตอนนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในฐานะนายยกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้ประกาศจะสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่การกระทำที่ผ่านมานอกจากโวหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ การกระทำและสั่งการบางเรื่องยังขัดกับคำพูด อย่างเช่นการไล่ล่าจับกลุ่มแกนนำ นปช.แต่กลับไปขึ้นเวทีของกลุ่มพันธมิตรในการชุมนุมที่ขัดกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งก็คือการเข้าไปร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นั่นเอง

เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่แท้จริง ต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์อย่างแท้จริง จะต้องใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสนับสนุนสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ขจัดการใช้กฎหมายอย่างสองมาตรฐานให้หมดไปจากสังคมไทย นำผู้กระทำผิดทุกคนเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและพิพากษาอย่างยุติธรรมเท่าเทียม กัน ไม่ใช้อารมณ์แค้นเคืองส่วนตัวตั้งข้อหาฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยุติธรรม หากจะปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรที่กระทำความผิดมีโอกาสต่อสู้ข้อกล่าวหาอยู่ภาย นอกที่กุมขัง ก็ต้องให้โอกาสต่อกลุ่ม นปช. โดยปล่อยตัวออกไปต่อสู่ข้างนอก และหากยังจะกุมขังกลุ่ม นปช.อยู่ในคุกตะราง ก็ต้องเร่งดำเนินการต่อกลุ่มพันธมิตรให้พวกขาไปต่อสู้กับข้อกล่าวหาอยู่ใน คุกตะรางเฉกเช่นกัน

การจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความรุ่งเรืองสงบสุข เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีโดยตรง การสร้างความยุติธรรมที่เท่าเทียมจะนำไปสู่ความรุ่งเรืองสงบสุขนั้น การเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นเพื่อประชาชนทุกหมู่เหล่า หากจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อกลุ่มพันธมิตรเท่านั้นประชาชนคนไทยเรา ขอให้ท่านลาออกไปจากตำแหน่งที่ทรงคุณค่า ที่ต้องมีวุฒิภาวะ มีคุณธรรมนี้ อย่าได้สร้างเวรสร้างกรรมให้ประชาชนและประเทศชาติต่อไปอีกเลย

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ช็อค !! ขึ้นภาพยึดทำเนียบ บนป้ายหาเสียง กทม.



กรุงเทพฯ- พรรคการเมืองใหม่เผยธาตุแท้ ภูมิใจภาพก่อการร้ายบนป้ายหาเสียง

ชาวบ้านในเขตพระนคร แจ้งให้ทราบว่า พรรคการเมืองใหม่ ได้เผยแพร่ป้ายหาเสียงล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งสก. ๒๙ สิงหาคมนี้ เป็นภาพผู้สมัคร สก.คือนายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี(อมร หรือ อมรเทพ อมรรัตนานนท์ แกนนำพันธมิตรที่โดนคดีผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และคดีกบฎยึดทำเนียบ)โดยมีภาพกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึด ทำเนียบรัฐบาลในปี ๕๑ เป็นภาพฉากหลัง

ประชาชนได้เห็นภาพนี้แล้วต่าง วิจารณ์กันไปมาว่า เหตุการณ์ยึดทำเนียบรัฐบาลนั้นเป็นเหตุการณ์ที่นำความเศร้าสลดมาแก่ประวัติ ศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทางการเมือง จนไล่ลามมาถึงการยึดสนามบินนานาชาติ พัฒนาระดับเป็นการ "ก่อการร้ายสากล"

ประชาชน ต่างพยายามลืมภาพดังกล่าว โดยเห็นเป็นเรื่องเลวร้าย แต่พรรคการเมืองใหม่กลับภาคภูมิใจในฝีมือขนาดนำภาพยึดทำเนียบ มาเป็นภาพใช้หาเสียงให้ผู้สมัคร สก. สข. กรุงเทพฯ การยึดทำเนียบดังกล่าวลุกลามไปถึงการยึดสนามบินฯ โดยที่การดำเนินคดีดังกล่าวกลับไม่ได้คืบหน้าเลย ซ้ำยังได้รับคำยกย่องจากตำรวจผู้ดูแลสำนวนว่าเป็น "ผู้ก่อการดี"

"ไม่ รู้เขาคิดยังไง ที่เอาภาพยึดทำเนียบมาใช้หาเสียง เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดเลยหรือว่า อะไรถูกอะไรผิด ถึงขนาดกล้าเอามาเตือนความจำอันเลวร้ายบนป้ายหาเสียง เราเห็นภาพนี้แล้ว เรารู้สึกกลัว ขยะแขยง กับความคิดและนักการเมืองพวกนี้เหลือเกิน" ชาวบ้านในเขตพระนครคนหนึ่งกล่าว

มามุกใหม่อีกแล้ว ล่าสุดโจรก่อการร้ายพันธมิตรหาทางออกคดีก่อการร้ายยึดสนามบินได้แล้ว โดยป้ายความผิดไปให้ทักษิณว่าเป็นคนสั่งปิดสนามบินเอง

ทั้งนี้ASTV กระบอกเสียงของพันธมิตรได้สัมภาษณ์ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตร อ้างว่า "ผมมีหลักฐานว่านายทักษิณเป็นคนสั่งให้นายเสรีรัตน์(ผอ.การท่าอากาศยาน)ปิด สนามบินเลยเมื่อพันธมิตรมาถึง เพื่อโยนบาปให้ การปิดสนามบินจึงเป็นความผิดของเสรีรัตน์เอง และมั่นใจอย่างสูงว่าเราสุจริต การสุจริตใจจะเป็นศาสตร์กำบังทุกอย่างได้ โดยยืนยันต้องฟ้องกลับตำรวจ โดยหารือกันแล้ว ตอนนั้นที่ทำเนียบพันธมิตรถูกยิงตาย ยังไม่มีการเผาเลย และรัฐบาลก็ไม่เคยหาคนผิดมาได้ คนที่ตั้งข้อกล่าวหาเกินจริงผิดกฎหมายอาญามาตรา 200 ต้องโดนจำคุกตลอดชีวิต" นายสุวัตร กล่าว

นายพิภพ ธงชัย แกนนำพันธมิตรกล่าวว่า แกนนำพันธมิตรสนับสนุนผู้สมัครพรรคการเมืองใหม่ทุกเขต โดยวันนี้เช้าที่ลานพระรูปทรงม้า พล.ต.จำลอง นายสุริยะใส นายสมศักดิ์ แกนนำพันธมิตรรุ่น 2 และตนจะไปให้กำลังใจผู้สมัครพรรคการเมืองใหม่ เพื่อบอกว่าแกนนำสนับสนุน และจะมีการแห่ไปทั่ว ตนจึงขอเชิญพี่น้องพันธมิตรออกมาให้กำลังใจ ผู้สมัครพรรคกมม.ที่กล้าลงสมัครทั้งๆที่ไม่ค่อยมีสตางค์ เราจะปักธงให้การเมืองเก่าเป็นการเมืองใหม่

หัวโจกผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินเส้นใหญ่กร่างใส่ตร.เด็กเนวิน แถด้านๆปิดสุวรรณภูมิไม่เสียหายซักนิด มามุกใหม่"ทักษิณ"เป็นคนปิดสนามบิน


หยุด!ผู้ก่อการร้ายล้อมไว้หมดแล้ว-สนธิ ลิ้มทองกุล หัวโจกผู้ก่อการร้ายนำ 79 ผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิเข้าพบตำรวจกองปราบปรามตามหมายเรียก แต่บรรยากาศเหมือนๆกับผู้ก่อการร้ายได้เข้ายึดกองปราบปราม เพราะมีสมุนโจร500คนตามไปล้อมกองปราบฯ โดยหัวโจกผู้ก่อการร้ายได้ข่มขู่ตำรวจที่ดำเนินคดี และเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นลูกพี่ของหัวหน้าชุดดำเนินคดีอย่างแข็งกร้าว แน่นอนว่าสนธิลิ้มไม่ต้องนอนคุกแต่อย่างใด


หลังจากอุก อาจก่อคดีก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้โดยสารนานาชาติ 700,000 คน สร้างความเสียหายคิดเป็นเงิน 200,000 ล้านบาท และลอยนวลมานาน 639 วัน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯได้เข้าพบตำรวจตามหมายเรียกแล้ว โดยหัวโจกผู้ก่อการร้ายคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายตามที่ถูกกล่าวหา ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆซักนิด และขู่เล่นงานกลับตำรวจผู้ดูแลคดีนี้ที่ใกล้ชิดนายเนวิน ชิดชอบ โดยบอกว่าเรื่องนี้เป็นคดีการเมือง

ที่สำคัญตำรวจไม่ได้มีการควบคุม ตัวโจรก่อการร้ายยึดสนามบินแต่อย่างใด นับว่า2มาตรฐานกับแกนนำนปช.และเสื้อแดงที่แม้จะเข้ามอบตัวด้วยตัวเอง แต่ก็ถูกขังยาวมากว่า 3 เดือน ห้ามประกันตัว ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆว่าแกนนำนปช.พัวพันกับการก่อการร้าย หรือเผาทรัพย์สินตามข้อกล่าวหา

วันนี้ (26 ส.ค.) ที่กองปราบปราม นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตร ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีชุมนุมสนามบิน ข่มขู่หัวหน้าชุดดำเนินคดีว่า ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและจะทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมา ให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน และพันธมิตรจะฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แน่ โดยผู้ต้องหาในคดีนี้มีทั้งหมด 79 คน และถ้าแต่ละคนฟ้องรวม 79 คดี พล.ต.ท.สมยศก็รับไปแล้วกัน ทั้งนี้ ตนเห็นว่า พล.ต.ท.สมยศทำตามหน้าที่ที่นักการเมืองบอกมา ซึ่งคนไหนประชาชนเขาก็ทราบ ในขณะที่อีกไม่กี่ปี พล.ต.สมยศก็จะเกษียณ แต่ภาคประชาชนไม่มีวันเกษียณตาม

นายสนธิกล่าวถึงการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาด้วยว่า ตนมั่นใจ 100% เมื่อเห็นหลักฐานที่มีก็หัวเราะ เพราะที่แจ้งมาอาวุธที่มีก็แค่กระบองจึงไม่อาจเข้าข่ายก่อการร้าย ตนไม่หนักใจซึ่งหลักฐานอื่นๆ เจ้าหน้าที่ก็ได้นำคำปราศรัยมาแจ้ง และกล่าวหาว่าเราปิดสนามบิน แต่ล่าสุดนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ อดีตผู้ว่าการการท่าอากาศยานฯ ก็ให้ได้การในศาลแพ่ง ยอมรับว่าพันธมิตรฯ ไม่ได้ปิดสนามบิน และชุมนุมอยู่ในแลนด์ไซต์ซึ่งประชาชนมีสิทธิที่จะอยู่ได้ ขณะที่ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยก็ยอมรับว่าไม่มีความเสียหายเลย สรุปง่ายๆ ว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีการเมือง ตนจึงสงสัยว่า พล.ต.ท.สมยศรับงานการเมืองมาทำ ทั้งนี้ผู้ ถูกกล่าวหาทั้ง 79 คนไม่กลัว และยินดีที่จะสู้คดี โดยตนจะทำลายลักษณ์อักษรชี้แจงข้อกล่าวหา และเชื่อว่าคดีนี้ยังอีกนานจนกว่า พล.ต.ท.สมยศเกษียณไปแล้วก็ยังไม่จบ

“ผมขอพูดเป็นตัวแทน 79 คนที่โดนข้อกล่าวหา เราไม่กลัว การทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองมันต้องมีการถูกกลั่นแกล้ง แต่เชื่อผม คนเราทำดีเพื่อแผ่นดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถ้าไม่ได้ทำงานเพื่อชาติเพื่อเมือง จะโดนยิง 200 นัดแล้วรอดได้อย่างไร รัฐบาลรู้ว่าใครยิง ผมก็รู้ และคนที่ยิงก็นอนไม่หลับ อยากยิงอีก แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นต่อชาติที่พวกพี่น้องรักจริง ไม่เหมือนคนบางคนร่วมงานกับทักษิณแล้วมาร่วมมือประชาธิปัตย์ แล้วมาบอกว่ารักสถาบัน แต่ 4 ปีที่ทักษิณหมิ่นสถาบัน กลับไม่ทำอะไรเลย” นายสนธิกล่าว

ทั้งนี้นายสนธิกล่าวพาดพิงถึงนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกล่าวกันว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลในการสนับสนุนพล.ต.ท.สมยศขึ้นมามีอำนาจ ในสำนักงานกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ

กระทรวงคมนาคมกระทรงเดียวเสียหาย19,000ล้านบาท
กระทรวง คมนาคมรายงานว่า ได้มีการสรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ดำเนินการช่วย เหลือผู้โดยสารตกค้าง ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเมื่อรวมกับค่าเสียหายจากการสูญเสียรายได้ รวมทั้งหมดเป็นเงินทั้งสิ้น 19,612,319,206.75 บาท

ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

หน่วยงานภาครัฐ สังกัดกระทรวงคมนาคม คือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)มีค่าใช้จ่าย 2,292,500 บาท

บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) มีค่าใช้จ่าย 1,100,000 บาท

บริษัท วิทยุการบิน แห่งประเทศไทย จำกัด มีค่าใช้จ่าย 796,899 สูญเสียรายได้ 103,592,900บาท รวม 104,389,799บาท

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีค่าใช้จ่าย 570,427,790.68 บาท ค่าสูญเสียรายได้ถึง 13,236,001,371 บาท รวมเป็นเงิน 13,806,429,161.68 บาท

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) มีค่าใช้จ่าย 16,987,159.07 บาท สูญเสียรายได้ 574,000,000 บาท รวม 590,987,159.07 บาท

ท่า อากาศยานอู่ตะเภา กองทัพเรือ มีค่าใช้จ่าย 542,426 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจริง 2,544,200 บาท

สาย การบินต่าง ๆ ประจำประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง 85,033,961 บาท ค่าเสียหายจากการสูญเสียรายได้ จำนวน 5,019,000,000 บาท รวม 5,104,033,961 บาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ปิดสนามบินเสียหายยับ 2 แสนล้าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า โดยจำนวนผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 17.7 และ 22.5 ของจำนวนผู้โดยสารทั้งปี และการขนส่งสินค้าทางอากาศมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 18.0 และ 19.2 ของปริมาณสินค้าที่ขนส่งทั้งปี ธุรกรรมผ่านท่าอากาศยานที่ต้องหยุดชะงักลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม จึงหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการแข่งขันที่อาจสูญเสียอย่างใหญ่ หลวง

เหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลกระทบให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองต้องปิดให้บริการนับ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 มาจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ได้สร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยหากรวบรวมความเสียหายที่หน่วยงานต่างๆ ประเมินออกมานั้น ในเบื้องต้นพบว่าสูงกว่า 2 แสนล้านบาท จากผลกระทบของธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ

การท่าอากาศยานแห้งประเทศไทยระบุว่า การปิดท่าอากาศยานในครั้งนี้ส่งผลกระทบให้ผู้โดยสารไม่สามารถเดินทาง เข้าออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ 1.1 แสนคนต่อวัน เที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกไม่สามารถขึ้นลงได้ 700 เที่ยวต่อวัน

วิคเตอร์ บูท (๓) โดย นิติภูมิ นวรัตน์

[Image: article-opensky.gif]

นิติภูมิเขียนเปิดฟ้าส่องโลกของวันที่ ๑๔ – ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓
เรื่อง ‘ให้ไทยเป็นชาติถ่ายทำหนังระดับโลก (๑) และ (๒)’ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทย
มีมาตรการส่งเสริมให้ภาพยนตร์ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำในไทยได้สะดวกขึ้น


จากนั้น ผู้ใหญ่หลายท่านขอข้อมูลจากนิติภูมิในฐานะประธานบริษัทประสานงาน
การถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ผมให้ข้อมูลทุกประเภทอย่างโปร่งใส
แจกแจงแม้แต่รายได้ที่ SMG Moviel Limited ของรัสเซีย
โอนเงินประมาณเดือนละ ๑๒ ล้านบาทมาให้โดยชี้แจงแสดงให้เห็นว่า
เงินจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์เหล่านี้เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ
ของโรงแรม ภัตตาคาร ร้านค้า รถเช่า ฯลฯ ของไทยมากขนาดไหน
คนไทยกว่า ๑๐๐ ชีวิตมีรายได้ติดต่อกันยาวนานถึง ๙ เดือน
ผู้อ่านท่านที่อยากเห็นภาพความสุขของคนไทยที่ได้ทำงาน
ในวงการภาพยนตร์กับเพื่อนร่วมวงการชาวต่างชาติ
โปรดเข้าไปที่เว็บไซต์ nitipoom.com เมนู ภาพกิจกรรม นะครับ

ตอนสายของอังคารวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓
ผมได้รับโทรศัพท์แจ้งจากท่านผู้ใหญ่ที่เคารพว่า
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เว้นภาษีนักแสดงต่างชาติ
ส่วนภาษีอื่นกรมสรรพากรขอนำกลับไปศึกษาเป็นเวลาอีก ๑ เดือน
ทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ของไทยก็ยินดี
จะเปิดช่องตรวจขาเข้าโซนกลางของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
สำหรับคณะที่จะเดินทางเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอก็มีข่าวดีว่า
จะส่งเสริมบริษัทที่นำอุปกรณ์จากต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย ฯลฯ


ผู้คนในวงการที่ทำงานกับภาพยนตร์ต่างประเทศโทรศัพท์มาขอบใจนิติภูมิ
ผมบอกว่า อย่ามาขอบใจผมเลย ต้องไปขอบคุณนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี
ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดีทัศน์แห่งชาติ
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา
ข้าราชการกองกิจการภาพยนตร์ สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว ฯลฯ
ที่สนับสนุนเพื่อประโยชน์ของประเทศ


ผมเชื่อว่าในอนาคต รัฐบาลไทยสามารถสร้าง Siamywood
เพื่อให้ไปตระหง่านใกล้กับ Hollywood Bollywood Kollywood Tollywood และ
Mollywood
โดยแท้ที่จริงศักยภาพไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีไม่แพ้ของประเทศอื่น
เพียงแต่รัฐบาลต้องมีวิสั้น เอ๊ย วิชั่น ด้านนี้ ให้มากขึ้นหน่อยเท่านั้น

ขณะที่ผู้อ่านท่านผู้เจริญจับไทยรัฐฉบับวันนี้ นิติภูมิกำลังระเห็จเตร็ดเตร่อยู่ที่เชค
ในห้วงช่วง ๙ วันนี้ ผมมาอุจจาระปัสสาวะที่เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และเชค
ขณะที่ก็ยังมีผู้อ่านสนใจความเป็นไปในคดีของนายบูทเป็นอย่างมาก


๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เป็นวันครบรอบความสัมพันธ์ไทย – รัสเซีย ๑๑๐ ปี
และในช่วงนี้นี่เอง
ที่ประชาชนคนไทยเริ่มให้ความสนใจในวัฒนธรรมประเพณีของรัสเซียเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครบอลชอยแห่งกรุงมอสโก
และการแสดงของอดีตโรงเรียนศิลปกรรมหลวงคณะมาริอินสกี้แห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๐ สังคมไทยก็ตระหนักถึงศักยภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์
ที่ผลิตจากสหพันธรัฐรัสเซีย
มีการกระดิกพลิกตัวของบรรดานายทหารทุกเหล่าทัพ
เดินทางไปดูโรงงานผลิตอาวุธของรัสเซียกันยกใหญ่

อเมริกาเป็นประเทศหนึ่งซึ่งมีรายได้จากการขายอาวุธ จากประวัติศาสตร์
คณะผู้นำของชาติบ้านเมืองใดที่เปลี่ยนแหล่งซื้ออาวุธจากโรงงานอเมริกัน
ไปซื้อของประเทศอื่น
คณะผู้นำนั้น มักจะโดนรัฐประหาร ต้องเปลี่ยนรัฐบาลทุกรายไป

ผมมีลางสังหรณ์ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ แล้วล่ะครับว่า
อนาคต น่าจะมีเหตุการณ์อะไรไม่ดีซักอย่าง สองอย่างเกิดขึ้นกับประเทศไทย

๑-๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ นิติภูมิไปพักที่หอของนายคุณนิติซึ่งเป็นบุตรชายคนที่ ๒ ของผม
กลางวัน เจ้าลูกชายไปเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุงปักกิ่ง
ผมไม่มีอะไรทำก็เข้าไปเสิร์ชข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทั้งวัน
พบการกระดิกพลิกตัวของวงการค้าอาวุธที่น่าสนใจหลายอย่าง


ในห้วง ๔ เดือนแรกของ พ.ศ.๒๕๕๑ ผมตั้งความหวังไว้ว่า
จะต้องไปเยือน ๔ เมืองหลวงของมหาอำนาจชาติโลก
ปลายเดือนมกราคม ๒๕๕๑ ผมและบุตรชายคนที่ ๑ คือ
นายเนติภูมิ จึงไปเยือนกรุงโตเกียว ผู้ใหญ่ในคณะที่เดินทางไปด้วยกันนั้น
บั้นปลายท้ายต่อมา เป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมถึง ๒ ท่าน
ส่วนอีกท่านหนึ่งตอนไปด้วยกันเป็น ผวจ.ชุมพร
ต่อมาท่านได้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายมานิต วัฒนเสน)
อีกท่านหนึ่งเป็น ผอ.สำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน
ก็เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(ดร.อรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล) อีกท่านหนึ่งนั้น ท่านเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่แล้ว

ในห้วงช่วงที่อยู่ญี่ปุ่น ท่านผู้ใหญ่หลายท่านสอบถามตามข่าวถึงคุณภาพของอาวุธ
และการอุตสาหกรรมรัสเซียหลายครั้ง ผมจึงจับความสนใจในขณะนั้นได้ว่า
สังคมไทยสนใจในเรื่องอาวุธรัสเซียจริงๆ มิใช่สนใจเพียงตามกระแส

กลับจากญี่ปุ่น ผมไปรัสเซีย พักไม่กี่วัน ผมก็ไปอินเดีย

ผู้อ่านท่านที่อยากทราบว่าเรื่องนี้ ว่า
(อาจจะ) เกี่ยวดองหนองยุ่งกับคดีนายวิคเตอร์ บูทอย่างไร?
กรุณาซื้อไทยรัฐอ่านต่อได้ในฉบับวันศุกร์ครับ
สำหรับคืนนี้ นิทราราตรีสวัสดิ์ ลาไปก่อนครับ ลาไปแล้วละครับ สวัสดีครับ.

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิคเตอร์ บูท (2)

ใครที่คิดว่าอเมริกาจะช่วยตนและพวกให้พ้นข้อหาอาชญากรรมระหว่างประเทศ โดยการเอาคดีความบางเรื่องเข้าแลก ก็อย่าหวังว่าอเมริกาจะจริงใจนะครับ ชีวิตมนุษย์จำนวน 91 คน ที่ต้องตายวายชีวันจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ในอนาคตอาจนำความยุ่งยากมาสู่ผู้คนบางกลุ่มด้วยการจะต้องถูกฟ้องร้องของคดี สังหารหมู่ คดีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ คดีทำร้ายพลเรือน ฯลฯ

เรื่อง การรับโทษทัณฑ์เป็นเรื่องในอนาคต ยังไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน แต่ข่าวที่จะเป็นของแท้แน่ชัดก็คือ บริษัทไทยที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับเรื่องท่องเที่ยวเตรียมรับความหายนะได้ วันที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ มีข่าวจากกรุงมอสโก ความว่า ส.ส.ซิรินอฟสกี รองประธานสภาดูมาของรัสเซีย ซึ่งเป็นมหาบัณฑิตจากสถาบันเอเชียและแอฟริกาศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยมอสโก ประกาศว่าจะบอยคอตการท่องเที่ยวไทย คนไทยครอบครัวไหนเคยมีอาหารอิ่มท้องเพราะนักท่องเที่ยวรัสเซียมาใช้บริการ ก็เตรียมทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ พร้อมทั้งต้องลองออกไปหาอาชีพเสริมทำ

ผู้ อ่านท่านผู้เจริญ ศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อ 11 สิงหาคม 2552 ปฏิเสธคำร้องของสหรัฐอเมริกาในการส่งนายวิคเตอร์ บูท เป็นผู้ร้ายข้ามแดน โดยให้เหตุผลว่า ลักษณะนี้เป็นคดีการเมือง และเป็นคดีที่ศาลไทยพิจารณาไม่ได้ เพราะข้อกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาไม่ตรงกับมาตราใดๆ ของศาลไทยเลย

วัน เดียวกันนั้น พนักงานอัยการอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาศาลอาญา ศาลอุทธรณ์รับไว้เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2552 และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขังนายวิคเตอร์ บูท ไว้เพื่อส่งตัวข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ เมื่อ 24 พฤษภาคม 2553

แต่สังคมภายนอกรู้คำพิพากษาพร้อมกันทั่วโลกเมื่อ 20 สิงหาคม 2553 แสดงว่าคำพิพากษามีก่อนหน้าที่ประกาศจริงถึง 2 เดือน 27 วัน

ใน ห้วงช่วง 3 เดือนที่ว่านี้ นายกษิต ภิรมย์ เดินทางไปกรุงมอสโก เพื่อคุยกับกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องของนายบูทด้วย แถมนายกษิตเองก็พบกับนายเซรเกย์ ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศของรัสเซียที่กรุงฮานอยเมืองหลวงของเวียดนาม เมื่อออกมาจากห้องสนทนา นายลาฟรอฟ บอกกับคนที่นั่งคอยอยู่หน้าห้องว่า "รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเริ่มพูดถึงกรณีของนายบูทก่อน..."

เรื่อง ที่นายกษิตพูดกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียนั้น เป็นความลับ ไม่มีใครทราบ แต่ผมก็ไม่คิดนะครับว่านายกษิตจะแย่ขนาดเอาเรื่องอิสรภาพนายวิคเตอร์ บูท ไปแลกกับการขอให้รัสเซียส่งพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาให้รัฐบาลไทยลงโทษ

พันตำรวจโท ดร.ทักษิณเป็นบุคคลที่ผู้ใหญ่ทางฝ่ายรัสเซียรักมาก คบกันเป็นเพื่อนตาย   นิติภูมิรู้จักคนรัสเซียดี   ผมจึงมั่นใจว่าคนรัสเซียไม่ขายเพื่อน

ยิ่ง ถ้าหากนายกษิต ภิรมย์ รู้ผลคำพิพากษาล่วงหน้า ว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษาแล้วว่าให้ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปให้สหรัฐอเมริกา ทว่าในระหว่างนั้น นายกษิตยังกล้าไปเจรจาเรื่องแลกตัวนายวิคเตอร์ บูท กับพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ผมว่าอันนี้ก็เหมือนรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยไปหลอกลวงรัฐบาลรัสเซีย

คนบ้านนอกคอกนา ตระกูลแม่ค้าขายขนมในตลาดสดและทำไร่ไถนาหาปลาในทะเลอย่างนิติภูมิ ก็ไม่เชื่อหรอกครับ ว่าผู้ดีอย่างนายกษิตจะทำ

แต่ถ้าทำ ก็ต้องถือว่านายกษิตเป็นคนแย่มาก

และก็สมควรที่คณะรัฐบาล และสมาชิกรัฐสภาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และประชาชนคนรัสเซียจะโกรธมาก

รัส เซียทำทุกอย่างเพื่อให้นายบูทมีอิสรภาพ และช่วยหาหลักฐานมามอบให้ฝ่ายสงสัยหลายครั้ง เพื่อยืนยันว่านายบูทเลิกธุรกิจระหว่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งธุรกิจการบินด้วยตั้งแต่ พ.ศ.2544 มีหลักฐานจาก ตม.รัสเซียว่า ระหว่าง พ.ศ.2544-2551 นายวิคเตอร์ บูท เคยเดินทางไปจีน 1 ครั้ง มอนเตเนโกร 1 ครั้ง อาร์เมเนีย 1 ครั้ง และมาเมืองไทย 1 ครั้ง โดยเหยียบแผ่นดินไทยได้เพียง 3 ชั่วโมงก็ถูกจับ

ถ้าบูทเป็นพ่อค้า อาวุธตัวจริงก็น่าจะรวยนะครับ สมบัติพัสถานของคนค้าอาวุธบ้าอะไร ทำไมมีน้อยจัง? มีบ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอน ขนาดไม่กี่ตารางวาที่อยู่ห่างจากรุงมอสโกไปตั้งเกือบครึ่งร้อยกิโลเมตร สมบัติอีกอย่างก็เป็นคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก 2 ห้องนอน และมีหุ้นเล็กน้อยในบริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างสำหรับตลาดรัสเซีย

ตั้งแต่หัวหน้าครอบครัวติดคุกไทย ครอบครัวของบูทต้องวิ่งหาสตางค์มาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี จนขณะนี้มีแต่หนี้รุงรัง

นาง อัลลา ภรรยาของนายบุช ไม่เคยออกนอกประเทศไทยเลยมามากกว่า 2 ปีแล้ว เธอเช่าห้องเล็กๆ ขนาด 40 ตารางเมตรแถวเรือนจำ เพื่อซุกหัวนอน และเพื่อสามารถเดินทางไปเยี่ยมและนำอาหารไปให้สามีได้ทุกวัน วันละ 15 นาที

ลูกสาววัย 16 ปีของวิคเตอร์ บูท และนางอัลลา ต้องย้ายไปขออาศัยอยู่บ้านตากับยายในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

พ่อค้าอาวุธบ้าอภิพญามหาเศรษฐีอะไรกันครับ ต้องยืมเงินคนไทยเพื่อนำไปใช้จ่ายประคองชีวิตให้ดำรงคงอยู่ได้ ยืมทีละไม่กี่หมื่นบาทซะด้วย

พวกเอ็งจะบ้านิยายที่ไอ้ดักลาส ฟาราห์ โม้กันไปถึงไหน?
นิติภูมิ นวรัตน์

วิคเตอร์ บูท (1) จาก นิติภูมิ นวรัตน์



นิติภูมิเขียนหนังสือในราตรีด้วยความมึนนิดหน่อย
เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Island of the unwanted ได้ 70%
ราตรีนี้ที่สวนนงนุชพัทยาจึงมีงานเลี้ยงที่เป็นชาวรัสเซีย ยูเครน และชาวไทยมากกว่า 150 คน
มาร่วมฉลองแสดงความยินดี ท่านผู้อ่านก็คงจะนึกออกนะครับ ว่า
ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของบริษัท บาลานซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเน็คชั่นส์ จำกัด นั้น
ผมต้องชนแก้วมากมายนับร้อยแก้ว ทุกแก้วเป็นว้อดก้าทั้งนั้น

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2553 สื่อมวลชนไทยหลายฉบับ
รายงานข่าวเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เรื่องพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน ว่า
ด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
ควบคุมหรือขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ท่านทั้งหลายคงทราบว่า จำเลยในคดีนี้คือ
นายวิคเตอร์ บูท หรือบอริส หรือวิคเตอร์ บัท หรือวิคเตอร์ บูคาลิน หรือวาดิม มาโควิช อมินอฟ
หลังจากศาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้ประกาศคำพิพากษาอย่างเป็นทางการ
ส่วนมากสถานีโทรทัศน์ไทยจะแสดงภาพนายวิคเตอร์ บูท ที่มีสภาพจ๋อยอยู่ในคุกไทย
บางช่องเปิดเผยข้อมูลว่า เขาน้ำหนักลดจาก 120 กิโลกรัม เหลือเพียง 70 กิโลกรัม
ผอมกว่านิติภูมิในขณะนี้เสียอีก
บางสถานีโทรทัศน์ของรัสเซียเผยภาพนายวิคเตอร์ บูท จูบลาเมีย คือนางอัลลา บูท
ก่อนนายบูทจะเดินไปขึ้นรถเรือนจำเพื่อกลับไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเป็นครั้งสุดท้าย

ภาพนี้ ประชาชนคนรัสเซีย 148 ล้านคน
และประชาชนคนอีกเกือบถึงหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกเห็นแล้วก็ร้องไห้
สถานีโทรทัศน์หลายแห่งของรัสเซีย แปลข่าวจาก
ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยหลายช่อง เช่น โฆษกช่อง 5 บอกว่า
"รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่ผู้ก่อการร้ายนานาชาติ อดีตสายลับเคจีบี
พ่อค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายวิคเตอร์ บูท ถูกส่งกลับไปยังศาลในสหรัฐอเมริกา"
สถานีโทรทัศน์ของไทยหลายช่องเอาภาพเครื่องบิน ILYUSHIN-76
ทะเบียนของสาธารณรัฐจอร์เจีย ซึ่งมีนักบินเป็นชาวคาซัคสถานที่ถูกจับในสนามบินดอนเมือง
ในระหว่างการขนอาวุธจากเกาหลีเหนือมาแวะพักที่ประเทศไทย เพื่อจะให้ผู้ชมได้เข้าใจว่า
เครื่องบินดังกล่าวเกี่ยวดองหนองยุ่งกับนายวิคเตอร์ บูท
คนรัสเซียทั้งประเทศ 148 ล้านคนติดตามข่าวนี้อย่างละเอียดและก็เริ่มสงสัยว่า
ทำไมสถานีโทรทัศน์ 4 ช่องของประเทศไทย จึงเริ่มทำการโจมตีนายวิคเตอร์ บูท
และสหพันธรัฐรัสเซียเหมือนกัน ใช้คำพูดเดียวกัน
ในเวลาเดียวกัน คนรัสเซียและรัฐบาลรัสเซียคิดตรงกันว่า นี่เป็นเรื่องมือที่มองไม่เห็น
ที่ฝากข่าวนี้ไปให้สถานีโทรทัศน์ของราชอาณาจักรไทย
แต่มือก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไอ้คนสั่งนั้นลืมใช้สมอง เพราะคิดว่าผู้ชมชาวไทยนั้นโง่
โดยไม่รู้ว่านายวิคเตอร์ บูท ติดคุกในประเทศไทยมานาน 2 ปีครึ่งแล้ว
และจะไปจัดการกับเครื่องบินขนอาวุธจากเกาหลีเหนือได้อย่างไร
การติดคุกที่แดน 8 ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่มีทางเลยที่ผู้ติดคุกจะบงการ
เพื่อให้เครื่องบินจากเกาหลีเหนือขนอาวุธมายังประเทศไทย


ผมได้ทราบคำยืนยันจากปากของนายวิคเตอร์ บูท ว่า
ในห้วงช่วงสงกรานต์ มีผู้มาพบนายวิคเตอร์ บูท ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
และบอกว่าถ้ายูจะรอดปลอดภัย ยูจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ expert ไปให้การในศาลว่า
พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ทำ operation ดำเนินการทั้งหมดทั้งปวง
ในการขนอาวุธจากเกาหลี เหนือมายังประเทศไทย และอาวุธดังกล่าวจะมาใช้กับพวกเสื้อแดง

นายวิคเตอร์ บูท แกก็งงว่าอะไรคือเสื้อแดง แกก็ปฏิเสธ
เพราะแกไม่ต้องการมาเกี่ยวดองหนองยุ่งกับการเมืองในประเทศอื่น


การรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ของประเทศไทยถูกนำไปรายงานซ้ำอีกที
ในสถานีโทรทัศน์ของรัสเซีย ทุกคนหัวเราะเยาะ พวกผู้ประกาศโง่ทั้งหลายที่บอกว่า
นายวิคเตอร์ บูท เป็นสายลับเคจีบี
ผู้ประกาศข่าวบางคนทะลึ่งประกาศว่า นายวิคเตอร์ บูท เป็นจำเลยของคดีการค้าอาวุธ
ทั้งๆที่ตามความเป็นจริง นายวิคเตอร์ บูท ไม่เคยได้รับการตัดสินลงโทษในศาลใดๆ ในโลกนี้
และแม้แต่ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาเองก็ยังถือว่า
นายวิคเตอร์ บูท เป็นแค่ผู้ต้องหา มิใช่นักโทษ

นายดักลัส ฟาราห์ ไอ้คนแรกในโลกนี้ที่หากินกับการเขียนหนังสือนิยายเรื่อง
Merchant of Death มันยังเขียนในหนังสือของมันเลยว่า
นายวิคเตอร์ บูท นั้นเป็นแค่ล่ามแปลภาษาของทหาร มียศกระจอกงอกง่อยเพียงแค่ร้อยโท
ก่อนจะลาออกจากทหารมาทำธุรกิจการขนส่งทางอากาศ

นิติภูมิผู้อ่านหนังสือเรื่อง Merchant of Death ขอเรียนกับผู้อ่านท่านที่เคารพว่า
อันนี้เป็นเพียงความเป็นจริงสิ่งเดียวในหนังสือดังกล่าว
นอกนั้นมันแต่งขึ้นมาทั้งหมด แต่งเป็นนิยายให้ดูตื่นเต้น ให้มันขายได้
แต่หนังสือบ้านี่บั้นปลายท้ายต่อมา ดันทะลึ่งขายดี
ก็เลยสร้างภาพพจน์ให้นายวิคเตอร์ บูท เป็นผู้ร้ายระดับโลก

ผู้อ่านท่านผู้เจริญ พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ วันนี้นิทราราตรีสวัสดิ์ ลาไปก่อนครับ ลาไปแล้วนะครับ.

นิติภูมิ นวรัตน์

แดงNEVER DIE:เรายังอยู่และยืนหยัดสู้ต่อไป




ภาพกิจกรรมเสื้อแดงสมุทรปราการที่หน้าห้างอิมพีเรียล สำโรง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม


รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นตามบี้ติดคดีสังหารนักข่าว10เมษาฯ




นาย คัตสุยะ โอกาดะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาไทย และนำดอกไม้คำนับบริเวณที่นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นถูกสังหารในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาบริเวณถนนราชดำเนิน จากนั้นเข้าพบหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อติดตามกรณีดังกล่าวเพื่อสืบสวนว่าใครสังหารนักข่าวชาวญี่ปุ่น

ดำทั้งแผ่นดิน ขจัดสิ้นสองมาตรฐาน


รักระหว่างรบ-ณัฐ วุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.จูบมือเด็กชายนปก ใสยเกื้อ ลูกชายตัวน้อย ผ่านกรงขังระหว่างถูกคุมตัวมาดำเนินคดีบุกบ้านพักพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เหตุเกิดเมื่อ 22 กรกฎาคม 2550 เพื่อกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เพราะแทรกแซงการเมือง(ภาพ:เดลินิวส์ออนไลน์)


"ณัฐวุฒิ" น้ำตารินจูบลูกผ่านกรง ขึ้นศาลคดีล้อมบ้านเปรม

เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำ นปช. มายังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อมาตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ถูกฟ้องร่วมกับ นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแกนนำ นปช. ตามข้อกล่าวหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง นำกลุ่มผู้ชุมนุมปิดล้อมบ้านสี่เสา เทเวศน์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี เพื่อกดดันให้ลาออก เมื่อปี 2550

โดยในขณะที่เจ้า หน้าที่คุมตัวนายณัฐวุฒิ เดินเข้าห้องควบคุมใต้ถุนศาล นางสิริสกุล ใสยเกื้อ ได้อุ้ม ด.ช.นปก ใสเกื้อ เข้าเยี่ยม ซึ่งเมื่อ ด.ช.นปก เห็นพ่อก็พยายามกวักมือเรียก "พ่อ" เจ้าหน้าที่จึงอนุโลมให้เดินมาพบหน้าลูกและภรรยา โดยนายณัฐวุฒิ ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าก้มลงจูบมือลูกชายผ่านลูกกรง สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้พบเห็น ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปพิจารณาคดีต่อไป.

จัดกิจกรรม “ดำทั้งแผ่นดิน ขจัดสิ้นสองมาตรฐาน” แต่งชุดดำประท้วงสองมาตรฐานทั่วประเทศ

คณะ ผู้จัดการระบุว่า วันที่ 26 สิงหาคม 2553 วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 90 ปีบริบูรณ์ ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษของประเทศไทย ในวันเดียวกันเมื่อสองปีที่แล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เลือกเอาวันคล้ายวันเกิดของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นฤกษ์หามยามดี บุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที สถานที่ราชการหลายแห่งและทำเนียบรัฐบาลได้อย่างเบ็ดเสร็จ

จากเหตุการณ์ยึดอำนาจล้มระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนถึงการบุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ปิดถนนราชดำเนิน ยึดทำเนียบรัฐบาล เป็นต้นแบบของม็อบมีเส้น จนกลายเป็นปัญหาสองมาตรฐานที่ทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคม ไทย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และจำลอง ศรีเมืองเริ่มชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ต่อมาได้มาปักหลักยึดถนนราชดำเนินนอก เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าการชุมนุมเดินขบวนครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุด ท้าย เพื่อปกป้องราชวงศ์จักรีและสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกล่าวหาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรสร้างความเสียหายยับเยินให้กับสังคมไทยชนิด ประเมินค่าไม่ได้ เป็นการกระทำความผิดร้ายแรง ทำให้การท่องเที่ยวและการลงทุนตกต่ำ ตั้งแต่วันแรกของการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้เวลาผ่านล่วงเลยมาสองปีแล้ว การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความล่าช้า ไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย มีการสั่งย้ายตำรวจที่รับผิดชอบดำเนินคดีของพันธมิตรอาทิเช่นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 เมื่อพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.เผยคดียึดสนามบินคืบหน้า 70 %จะออกหมายจับพันธมิตรภายใน1เดือน แต่ทว่าในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้สั่งย้ายตำรวจคุมคดียึดสนามบินเข้ากรุ พล.ต.อ.จงรัก จึงพ้นหน้าที่ในการคุมคดี หลังจากนี้การดำเนินคดีจึงเป็นไปอย่างล่าช้าอืดอาด จนกระทั่งในปัจจุบันยังเตะถ่วงเวลาการดำเนินการและการให้ความช่วยเหลือต่อ กลุ่มพันธมิตรด้วยการโอนคดีไปให้ดีเอสไอ

บรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ผู้ต้องหาทั้งหมด ยังแสดงบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ แม้กระทั่งได้ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภากทม.ได้ตามปกติ แม้กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2553 กลุ่มพันธมิตรฯไปชุมนุมหน้ากองทัพภาค 1 กดดันให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาตลอดแนวชายแดนไทยและเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็ม โอยู 43 ทั้งที่รัฐบาลยังประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินอยู่

แตกต่างไปจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า และราชประสงค์โดยสิ้นเชิง มีการจับกุมดำเนินคดีแกนนำนปช. 25 คน ไล่จับแกนนำอื่นๆอีกกว่า 400 คน ภายในเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น หลายคนแม้เป็นความผิดเล็กน้อยเช่นฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน ศาลสั่งลงโทษสถานหนักให้จำคุกทันที ส่วนความผิดของกลุ่มพันธมิตรในข้อหาพยายามฆ่าตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ศาลลง โทษสถานเบารอลงอาญา

ปัญหาสองมาตรฐานกลายเป็นความอัปยศในแผ่นดินไทย นำมาซึ่งความรุนแรงในสังคมไทยและสร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในวันคล้ายวันเกิดของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อ26 สิงหาคม 2551 จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการไล่ล่าปราบปรามคนเสื้อแดง ให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมือง นปช.ทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข

ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันแต่งชุดดำประท้วงสองมาตรฐานของเมืองไทยภายใต้คำขวัญที่ว่า ดำทั้งแผ่นดิน ขจัดสิ้นสองมาตรฐาน ระหว่างวันที่ 24-26สิงหาคม53 โดยให้ทุกคนทุกกลุ่มเขียนข้อความตามสถานที่ต่างๆประจานปัญหาสองมาตรฐาน รวมกลุ่มหน้าศาลากลางผูกผ้าดำ ยื่นข้อเรียกร้องโดยสงบสันติวิธี

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พลซุ่มยิงพิฆาต หน่วยสไนเปอร์บนตึกสูง

หนึ่งในแนวทางที่รัฐใช้สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงวันที่ 19 พ.ค.คือการส่งหน่วยสไนเปอร์ขึ้นบนตึกสูงรอบพื้นที่ชุมนุม

จดหมายจากวิกีลีกส์ถึงรัฐบาลไทย

 

เมื่อ ไม่นานมานี้รัฐบาลไทยได้ดำเนินการบล็อควิกีลีกส์ซึ่งเป็นเวปไซต์ที่เผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารโดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มา ทั้งนี้วิกีลีกส์ได้เรียกตนเองว่าเป็นระบบเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างไม่มี การปิดบัง วิกีลีกส์ตอบโต้ด้วยการตั้งเวปไซค์ขึ้นมาใหม่โดยให้ชื่อว่าไทยลีกส์ และข้อความข้างล่างคือข้อความของวิกีลีกส์ถึงคณะรัฐบาลไทย
“เรียน คณะรัฐบาลไทย
ในที่สุดรัฐบาลของท่านก็ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยเผด็จการแห่งชาติบล็อควิกิลีกส์
บางคนสงสัยว่าข้อมูลส่วนไหนที่ท่านต้องการที่ปิดบังจากประชาชน หรือ เป็นข้อมูลที่ระบุว่ามีเวปไซค์ใหม่ทั้งหมด 1,203 เวปไซต์ที่เพิ่งจะถูกบล็อคเมื่อไม่นานมานี้ ข้อมูลเกี่ยวกับนายแฮรี่ นิโคเลดส์ นักโทษทางการเมือง?
อย่างไรก็ตามเหตุผลของท่านไม่เกี่ยวข้องกับเรา เราอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตของท่าน ทำหน้าที่ปกป้องระบบหมุนเวียนข้อมูลอันเสรีภาพ ดังนั้นข้อมูลอะไรก็ตามที่ท่านลบออก เราจะนำกลับมาลงใหม่ เราเกิดและเติบโตในท่อ (เครือข่ายอินเตอร์เน็ต) และภาษาแม่ของเราคือรหัสลับ
วันนี้เราได้จัดทำเวปไซค์ไทยลีกส์ขึ้นมา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงระบบกรองแบบพื้นๆของท่าน ท่านสามารถเพิ่มเวปไซต์ดังกล่าวลงไปในรายการเวปไซต์ที่ควรถูกบล็อกของท่าน แต่นั้นไม่ได้ทำให้เรากังวลเลย เพราะมีนักท่องอินเตอร์เน็ตหลายพันคนที่พร้อมจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปสู่จุด หมายอันแท้จริง และนั้นก็คือประชาชนชาวไทย
ท่านสามารถเข้าเวปไซต์วิกิลีกส์ด้วยการเข้าไปที่วิกีไทยลีกส์หรือใช้ secure connection ( ท่านต้องกดยินยอมรับใบรับรองก่อน) ใน https-enabled
เราคือวิกีกง ( Wikicong เป็นการเล่นคำระหว่างวิกีกับทหารเวียดกงที่ต่อสู้อเมริกาแบบใต้ดินในสงคราม เวียดนาม) หน่วยคอมมานโดใต้ดินของ Telecomix Crypto Munitions Bereau
เราเชื่อมโยงคนเข้าด้วยกัน
เราเป็นอิสระ
เราคือแมงกะพรุน
เราจะทำหน้าที่ปกป้องเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสารของประชาชนต่อไป”

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมอาทิตย์สีแดงสัญจรเชียงใหม่



กิจกรรม หลังจากยกเลิก พรก. ของแดงเชียงใหม่!!!!

เป็น อันว่าตอนนี้ พรก.ฉุกเฉิน ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็ได้ถูกยกเลิกลงแล้ว ทางกลุ่มแดงเชียงใหม่เองนั้นก็มีกิจกรรมที่จะทำค่อนข้างเยอะพอสมควร

อันดับแรกเลย เราก็เริ่มกันมาตั้งแต่วันนี้แล้ว มีการเสวนาพูดคุยกันกับนักวิชาการ อาจารย์ นักศึกษา ซึ่งก็ต้องขอบอกว่าตอนนี้ อาจารย์นักวิชาการและข้าราชการ รวมทั้ง นิสิตและนักศึกษาต่างก็กลายมาเป็นแดงกันเยอะมากแล้วนะคะ ทั้งนี้ เพราะเขาทนไม่ได้ในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และการใช้กฎหมายของทางรัฐบาลที่ไร้มาตราฐาน

อันดับต่อไปก็คือการลงพื้นที่ต่างอำเภอ เพื่อประชาสัมพันธ์งานวันที่ 22 นี้ของ บก. ลายจุดอย่างรีบเร่ง เพื่อให้พี่น้องมวลชนมาพบปะกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

และ ในวันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2553 นี้พวกเราบางส่วนต้องเดินทางไปจังหวัดพะเยาเพื่อประชุมกับ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข เกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้ง สมัชชาประชาชน ประชุมเสร็จก็จะรีบเดินทางกลับมาเพื่อทำเวทีที่ท่าแพต่อค่ะ (ก็จะรวดทำการประชาสัมพันธ์และชักชวนพี่น้องพะเยาตามกลับมาร่วมงานวัน อาทิตย์ที่22 ด้วยเลย)

ในเย็นวันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม ได้มีการตกลงกันแล้วค่ะ ว่าจะจัดเวทีย่อย ที่ข่วงประตูท่าแพ มีการฉายคลิปวีดีโอ และภาพถ่ายการสลายชุมนุม อาจมีการพูดคุยจากปากของพี่น้องประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงมาเล่าสู่กัน ฟัง (ทางเหนือเรียกวันลองไฟค่ะ) ก็เชิญชวนพี่น้องที่เดินทางไปจากกรุงเทพฯมาร่วมลองไฟพบปะกับพี่น้องหมู่เฮา ชาวเหนือกั​นตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ี่ข่วงประตูท่าแพเลยนะคะ

เริ่มงานกันตั้งแต่ ประมาณ 16.00 น เป็นต้นไปเลยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม ก็จะเป็นการจับจ่ายซื้อสินค้าถนนคนเดิน ร่วมงานกับท่าน บก. ลายจุด และพี่น้องมวลชนเสื้อแดง ทั้งภูธร นครบาล ตั้งแต่ บ่ายๆเป็นต้นไปค่ะ (ตามแต่โปรแกรมของ บก. ลายจุดค่ะ)

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม ก็มีการเสวนาการเมืองต่ออีก 1 วัน ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยท่าน บก.ลายจุด และอาจารย์นักวิชาการ อีกหลายท่านนะคะ ก็ขอเชิญพี่น้องที่ยังไม่รีบเดินทางกลับเข้าร่วมฟังและร่วมแสดงความเห็นกัน ได้ค่ะ (รายละเอียดจะติดตามมาแจ้งให้ทราบอีกทีค่ะ)

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม แกน นำเชียงใหม่ได้รับเชิญเข้าร่วมเสวนา กับคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ในกรุงเทพมหานคร ก็ต้องเดินทางกันคืนที่ 23 ถึงกรุงเทพฯเช้าเข้าเสวนา (อย่างน้อยก็สามารถนำแนวทาง ความรู้ต่างๆไปเผยแพร่หรือประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ต่อไปอย่างรอบคอบมากขึ้น 555 ถ้าไม่เหนื่อยตายกันเสียก่อนนะจ๊ะ 55555 สู้ว้อยย)

ยังค่ะยังมี อีกเยอะค่ะ กิจกรรมที่คิดไว้และจัดเตรียมไว้แบบต่อเนื่อง นอนสต๊อป แน่นอนค่ะจะทะยอยแจ้งให้ทราบเป็นงานๆๆไปนะคะ บางงานอาจต้องพึ่งพา วิทยุ ของเวบถ่ายทอดสัญญาณเสียงบ้างนะคะ

เด็กจุฬาฯ โดนยึดป้ายประท้วงนายกฯ อาจารย์กร้าว “นี่เป็นที่ของผม ฟ้องผมได้เลย”


(18 ส.ค.53) กลุ่มนิสิตกลุ่มหนึ่งจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แจ้งว่า วันนี้ นิสิตจุฬาฯ ประมาณ 7-8 คน ซึ่งทำกิจกรรมถือป้ายข้อความเกี่ยวกับเสรีภาพและประชาธิปไตย ถูกยึดป้ายและถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้กำลังขัดขวาง ก่อนจะยื่นจดหมายให้นายกฯ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ และดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่สังหารประชาชน

กลุ่มนิสิต ระบุว่า ในงานวันครบรอบสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ไปกล่าวปาฐกถาเรื่องการกระจายอำนาจ ที่จุฬาฯ โดยนิสิตจุฬาฯ กลุ่มนี้ ต้องการยื่นจดหมายร้องเรียนถึงปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และความหวาดกลัวของประชาชนภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยกลุ่มนิสิตได้เตรียมแผ่นป้ายกระดาษแข็ง 7 ใบ มีข้อความ ดังนี้

“จะหนึ่งคน หรือแสนคน รัฐบาลก็ต้องฟัง” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

"ผมอยากเห็นรัฐบาลมีบทบาทในการคุ้มครองประชาชนมากกว่านี้" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

"ยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน ดีกว่ารัฐบาลอยู่อย่างนี้แล้วพังไปเรื่อยๆ" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

“หยุดปิดกั้นความคิด หยุดใช้ พ.ร.ก.”

“Political action is the highest responsibility of a citizen.” John F. Kennedy

“Justice delayed is democracy denied.” John F. Kennedy

“Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable.” John F. Kennedy และ

“Forgive your enemies, but never forget their names.” John F. Kennedy

รายงาน ข่าวแจ้งว่า นักศึกษายังไม่ทันจะได้แสดงข้อความ แผ่นป้ายส่วนหนึ่งก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยึดไป หลังจากนั้น แผ่นป้ายอีกส่วนหนึ่งก็ถูกนายวีระศักดิ์ เครือเทพ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยึดไป โดยมีการยื้อแย่งกับนิสิตพักใหญ่ โดยนายวีระศักดิ์ไม่ยอมให้นิสิตแสดงความคิดเห็นโดยการชูป้าย และได้กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ที่จุฬาฯ นี่เป็นที่ของผม ฟ้องผมได้เลย”


นายวีระศักดิ์ ขณะโต้เถียงกับนิสิต

ใน เวลาเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ได้เดินลงจากอาคารหลังจบการปาฐกถา นิสิตหญิงคนหนึ่งในกลุ่มได้พยายามนำจดหมายไปยื่นให้นายกฯ แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกักตัว ด้วยการเหนี่ยวแขนไว้อย่างรุนแรง และดันตัวไปจนชิดบันได จนนิสิตต้องตะโกนออกมาว่า “ท่านนายกฯ คะ!” เจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัว ทำให้ยื่นจดหมายได้สำเร็จ แต่ไม่สามารถชูแผ่นป้ายอย่างสงบในมหาวิทยาลัยที่ตนเองศึกษาอยู่ได้

ร้องเลือกตั้งใหม่ เป็นการฟังเสียงประชาชนที่ง่ายที่สุด
สำหรับ เนื้อหาของจดหมายเปิดผนึก นิสิตกลุ่มนี้ได้เสนอให้รัฐบาลต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ทันที เนื่องจากมองว่าการเลือกตั้งจะเป็นการกระจายอำนาจ และการรับฟังความเห็นประชาชนที่ดีที่สุด พร้อมทั้งเรียกร้องให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่สังหารประชาชนด้วย

นอก จากนี้ ยังระบุด้วยว่า ความปรองดองสามัคคีไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาโฆษณาหรือบอกให้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องเกิดจากการยอมรับความต่าง พร้อมกับการยอมรับผิดต่อการกระทำกับประชาชน การปราบปรามความเห็นต่าง และการโฆษณาชวนเชื่อผ่านกลไกรัฐ ไม่ว่าจะเป็น คุก ศาล ทหาร ตำรวจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่มีแต่สร้างความขัดแย้งและเพิ่มพูนความโกรธแค้นแก่ประชาชน

จดหมาย ระบุว่า การปฏิรูปการเมืองบนกองเลือดเป็นสิ่งที่ไร้ค่า และย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องคิดถึงกระบวนการรับฟังความเห็นที่ซับซ้อนและสิ้นเปลืองงบ ประมาณ ทางออกง่ายๆ ตรงไปตรงมา สามารถดำเนินการได้ผ่านการเลือกตั้ง อันถือเป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ง่ายที่สุด



อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ


(จดหมายเปิดผนึก)

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันที่ 18 สิงหาคม 2553
เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

วัน ที่ 18 สิงหาคม 2553 ขณะที่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิกำลังแสดงปาฐกถาเรื่องการกระจายอำนาจ พร้อมทั้งโวหารที่สวยงามเกี่ยวกับการคืนอำนาจให้กับประชาชน ณ ประเทศนี้เมื่อไม่นานมานี้มีประชาชนจำนวนมหาศาลรวมตัวกันเรียกร้องเพื่อให้ รัฐบาล คืนอำนาจให้แก่พวกเขา การชุมนุมเรียกร้องที่ยาวนาน จบลงด้วนการนองเลือด การปราบปรามของรัฐบาลยังผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งร้อยชีวิต เวลาล่วงมาเป็นเวลากว่าสามเดือนแล้ว...ดูเหมือนรัฐบาลจะลืมไปแล้วว่า ได้ทิ้งบาดแผลอะไรไว้กับประชาชนผู้สูญเสีย ที่ซึ่งไม่มีถ้อยคำแสดงความเสียใจใดๆ จากผู้นำรัฐบาล

หลังการสูญเสีย รัฐบาลพยามรณรงค์เรื่องความสมานฉันท์ และสามัคคีแบบที่ผู้นำไทยในอดีตเคยทำหลังจากมีการสังหารหมู่ประชาชนใจ กลางมหานครแห่งนี้ แต่ความสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อรัฐบาลยังคงปราบปรามผู้ที่เห็นต่าง ด้วยเครื่องมืออย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคมถูกควบคุมตัว รวมถึงประชาชนธรรมดาที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ยังคงถูกคุกคามและจับกุมอย่างต่อเนื่อง ด้วยข้อหาการเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและรัฐบาล

การดำเนิน การของรัฐบาลมีแต่สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนให้ทวีคูณขึ้น นายกรัฐมนตรีลืมสัญญาเรื่องการคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง แนวทางการสร้างความสามัคคีผ่านการปราบปราม และไม่ให้พื้นที่ความเห็นที่แตกต่างกันในสังคม จะนำสู่การล่มสลายของสังคมในที่สุด ล่าสุดเพื่อนเยาวชนนักกิจกรรมของเราที่เชียงราย ถูกควบคุมตัว จากการถือป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” การควบคุมความเห็นที่แตกต่างกันในฐานะเป็นอาชญากรรมที่รุนแรงและมีความ บกพร่องทางจิตนั้น ไม่สามารถเป็นทางออกให้แก่สังคมได้อย่างแน่นอน

รัฐบาล จะปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ได้อย่างไร ในประเทศที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และไร้หลักประกันใดๆ ในชีวิต ประชาชนใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกไร้ซึ่งอดีต ปัจจุบันและอนาคต พวกท่านตอบสนองข้อเรียกร้องเรื่องการยุบสภาอันถือเป็นข้อเรียกร้องอันน้อย นิดของพวกเขาด้วยกระสุนปืน และการปราบปราม หลังจากพวกท่านสังหารญาติพี่น้องและมิตรสหายของพวกเขาแล้ว พวกท่านยังคงปราบปรามพวกเขาและโฆษณาชวนเชื่อให้พวกเขาหลงลืมเหตุการณ์ที่ ผ่านมา....ความสามัคคีย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นในสังคมแห่งการปราบปราม

เพื่อ พิสูจน์ความจริงใจของพวกท่าน ที่กำลังพูดด้วยโวหารที่สวยงามเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ และการรับฟังความเห็นของประชาชน พวกเราในฐานะตัวแทนของกลุ่มกิจกรรมเยาวชน มีข้อเสนอดังต่อไปนี้

1.การกระจายอำนาจ และการรับฟังความเห็นประชาชนที่ดีที่สุดคือการเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสังคมที่ดี แม้ท่านจะนำเสนอคุณธรรมที่สูงส่งแต่สังคมปราศจากเสรีภาพในการรับฟังความเห็น คุณธรรมของท่านก็ไม่ต่างจากข้ออ้างของเผด็จการ....ดังนั้นรัฐบาลต้องจัดให้ มีการเลือกตั้งใหม่ทันทีพร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่สังหารประชาชน

2.ความ ปรองดองสามัคคี ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาโฆษณาหรือบอกให้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องเกิดจากการยอมรับความต่าง พร้อมกับการยอมรับผิดต่อการกระทำกับประชาชน การปราบปรามความเห็นต่าง และการโฆษณาชวนเชื่อผ่านกลไกรัฐ ไม่ว่าจะเป็น คุก ศาล ทหาร ตำรวจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่มีแต่สร้างความขัดแย้งและเพิ่มพูนความโกรธแค้นแก่ประชาชน

3.การ ปฏิรูปการเมือง บนกองเลือดเป็นสิ่งที่ไร้ค่า การตั้งคณะกรรมาธิการที่มิได้มีความเห็นชอบจากประชาชนด้วยหมู่คณะอภิสิทธิ์ ชนที่เห็นดีเห็นงามกับการสังหารหมู่ประชาชน....ท่านไม่จำเป็นต้องคิดถึง กระบวนการรับฟังความเห็นที่ซับซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณ ทางออกง่ายๆ ตรงไปตรงมา สามารถดำเนินการได้ผ่านการเลือกตั้ง อันถือเป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ง่ายที่สุด

จงคืนอำนาจ ให้แก่ประชาชนโดยเร็วไวขณะนี้ประชาชนจำนวนมหาศาลยังคงเชื่อมั่นวิธีการ เปลี่ยนแปลงผ่านช่องทางทางประชาธิปไตย เพราะพวกเขายังคงเชื่อว่าเป็นหนทางที่ยังคงรับประกันซึ่งอำนาจของพวกเขา หากรัฐบาลยังคงรีรอและปฏิรูปการเมืองเพื่อสนองประโยชน์ต่อชนชั้นอภิสิทธิ์ชน เพียงลำพัง ท้ายที่สุดแล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นย่อมไม่สามารถแก้ไขได้ผ่านช่องทาง รัฐสภาในที่สุด

Live Asia Update TV ดูสดทีวีเสื้อแดงช่องใหม่

เราถ่ายทอดสัญญาณมาจากหลายแหล่ง ให้ท่านทดลองกดเลือกรับชมช่องที่ชัดที่สุดได้ตามสะดวก






เบื้องลึก"ทุ่งสังหาร - เขตอภัยทาน และแดนสนธยา ณ ราชประสงค์ "

[Image: 45535111537065568146100.jpg]

ทันทีที่สิ้นเสียงของแกนนำประกาศยุติม็อบและยอมมอบตัว
ความโกลาหลท่ามกลางเสียงปืนและเสียงร้องของผู้คนดูสับสนไปทั่ว
ทหารรายล้อมประชิดเข้ามาเรื่อยๆ เห็นการ์ดแดงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน..
ชาวบ้านที่ปักหลักในเต้นท์ต่างๆมาแรมเดือน
มีบางคนจะวิ่งไปเอาสิ่งของสำคัญที่เก็บไว้อยู่ในเต้นท์ กลับโดนยิงตาย…
ชาวบ้านที่เหลือหลายพันชีวิตล้วนแต่ทำอะไรไม่ถูก..
การ์ดที่เหลือตะโกนบอกชาวบ้านผู้น่าสงสารเหล่านั้นให้รีบหนีไปเข้าวัดปทุมให้หมด
เพราะ นั่นเป็นเขตอภัยทาน..ทุกคนจะปลอดภัย! ไม่ต้องห่วง…ทุกคนจะปลอดภัย..
วูบหนึ่งของความรู้สึกปลาบปลื้มเข้ามาดับความกลัวชั่วคราว
ทุกคนล้วนแต่ต้องการพึ่งพระบารมี และนึกถึงหน้าพระองค์ก่อนอันดับแรก
อย่างน้อยก็พอทำให้อุ่นใจขึ้นบ้าง เพราะเพิ่งเห็นเหตุการณ์พี่น้องโดนยิงตายต่อหน้าต่อตา…
สภาพภายในวัดอากาศร่มรื่น ผู้คนยังทยอยมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บางคนมาแค่ตัวเปล่า ตีนเปล่า ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้แต่รองเท้า..
เพียงเพื่อหวังมาพึ่งพระบารมีโดยแท้…..
แต่แล้วความจริงมันช่างตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเขาวาดหวังไว้โดยสิ้นเชิง..
ยังไม่ทันได้ปรับทุกข์ ยังไม่ทันได้ถามไถ่ ยังไม่ทันได้กินน้ำกินท่า…
กลับมีเสียงปืนดังระรัวต่อเนื่องมาตลอด… โดยเป้าหมายคือผู้คนในวัด…!!
โธ่เอ๊ย!..ไพร่ผู้น่าสงสาร ความซื่อ ที่คิดว่าที่นี่ปลอดภัยมันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่…
มันเป็นความจริงที่โหดร้ายอย่างแสนสาหัส…
ตลอดทั้งคืน ชาวบ้านผู้ไร้เดียงสาเหล่านั้นต้องอยู่อย่างหวาดผวา
บางคนนอนไม่หลับทั้งคืน
บางคนมีลูกเล็กๆก็ต้องอยู่ตามมีตามเกิดไม่กล้าแม้แต่จะลุกไปหานมชงให้กิน…
ศพแล้วศพเล่าที่ล้มลงไปได้รับการบอกเล่าจากปากต่อปากของคนในวัด
ม่านหมอกแห่งความกลัวได้แผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว….
ด้านนอก…ซึ่งมีกองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังซุ่มยิงคนที่อยู่ภายในบริเวณวัด
ทหารเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดแต่อย่างใด
แต่เป็นหน่วยพิเศษที่ถูกนำมาปฎิบัติการเด็ดหัวเสื้อแดงโดยเฉพาะ
และขึ้นตรงโดยเฉพาะต่อผู้มีอำนาจอันล้นเหลือ?
เป็นทหารที่มีชื่อต่อท้ายกองพันว่า”รักษาพระองค์”….
ภาระกิจนี้ รู้ๆกันในหมู่ทหารบิ๊กๆ ที่รับผิดชอบการสลายการชุมนุม
กลุ่มทหารที่นำกำลังสลายม็อบในช่วงเช้าได้รับรายงานว่าให้ถอนตัวออกหมด
และก็เป็นหน่วยพิเศษเหล่านี้ได้มารับช่วงต่อในช่วงเย็นๆถึงรุ่งเช้า…
หน่วยนี้มีเป้าหมายอย่างเดียวคือ”ฆ่า”…..
ไม่มีใครเข้ามายุ่งกับแผนปฏิบัติการเห้** นี้ได้
แม้แต่นายตำรวจระดับใหญ่ๆ ที่มาสังเกตุการณ์ภายในบริเวณ สตช. (ซึ่งอยู่เยื้องๆหน้าวัดปทุม)
มีนายตำรวจหลายคน น้ำตาคลอเบ้าเพราะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องภายในวัดไม่ได้
(เพราะมีนายทหารสั่งไว้ว่าห้ามไม่ให้ใครมายุ่ง เป็นคำสั่งจากเบื้องบน!?)…
พวกนายตำรวจเหล่านั้นต้องรอจนกระทั่งรุ่งเช้า…
จึงได้เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องผู้น่าสงสารเหล่านั้นภายในวัดได้..
พูดปลอบใจชาวบ้าน ซับน้ำตาพวกเขาให้คลายกังวล
แม้แต่ตอนชาวบ้านจะเดินออกมาภายนอกวัดแต่ยังเห็นทหารยืนเรียงรายอยู่รางรถไฟฟ้า
ก็ต้องเดินหนีกลับเข้าไปอยู่ภายในวัดใหม่…
จนตำรวจต้องกั้นแถวเป็นกำบังให้ชาวบ้านได้อุ่นใจ
ทุกคนถึงยอมเดินออกมาจากวัดด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย…
ใคร?มันเห้**ได้ขนาดนี้ ทีออกคำสั่งให้หน่วยนี้จัดการเด็ดหัวคนเสื้อแดง
(จริงๆมีคำสั่งจากเบื้องบนว่าให้ฆ่าการ์ดชุดดำให้หมด)…
ใคร?ที่สั่งให้ทหารยิงทุกคนที่โผล่หน้าออกมาจากวัด
เพียงเพราะไม่ต้องการให้มาเห็นการเผาตึกต่างๆโดยเฉพาะตึก”เวิร์ลเทรด”
เขียนถึงตรงนี้ คงเข้าใจน่ะครับว่า
ทำไมคืนที่เผาตึกนั้นไม่มีใครกล้าไปยุ่งเลยและมีเสียงปืนตลอดคืน
เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐต้องการให้ตึกนั้นโดนเผา!!..
ประกอบกับมีข่าวแว่วๆ มาว่าเห็นคนตายเพียบตรงลานจอดรถใต้ดิน…

ไอ้คนที่คิดว่าเสื้อแดงเผาตึกนั้น ขอให้พินิจดูเสียใหม่…
เพราะเสื้อแดงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเผาตึกนั้นให้วอดวายขนาดนั้นได้
เพราะพื้นที่บริเวณนั้นโดนควบคุมจากฝ่ายทหารแทบ 100%…
หยุดกล่าวหาเสื้อแดงเสียที…พวกเขาบอบช้ำมามากพอแล้ว…
สังคมเราต้องเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้ได้แล้ว
เราต้องมาศึกษาว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์”อำมหิต”เหล่านี้ได้
เรื่องทั้งหมดมันต้อง”ผู้มีบารมี”เท่านั้นถึงกำหนดเหตุการณ์เห้** นี้ได้
ผู้มี”บารมี”คือใคร?….ผมเชื่อว่าคำตอบอยู่ในใจทุกคนดีอยู่แล้ว..
ปล.จินตนาการจากใต้ดินของผม ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของพยานแวดล้อมและพยานบุคคล…
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น!…
ผมอยากจะพิมพ์อะไรมากกว่านี้ ด้วยซ้ำแต่กลัวมันเยอะเกิน เดี๋ยวสหายไม่อยากอ่าน……
โชคดี..จงเป็นของปวงชนชาวเสื้อแดงทุกคน….

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปิดไม่มิด




มีความสงสัยมานานแล้วถึงมาตรฐานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
หรือดีเอสไอ ยุค นายธาริต เพ็งดิษฐ์

กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจพิเศษในมือ แต่กลับนำไปใช้เพื่อสนองรัฐบาล

จนไม่เหลือความเป็นกลางอยู่แล้ว!?

ก่อนหน้านี้นายธาริตออกมาระบุเองว่า
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด
เพื่อให้เห็นชอบสั่งฟ้องคดีที่เกี่ยวกับแกนนำนปช.
และยังให้เร่งสั่งฟ้องให้ทันกำหนดผลัดฟ้องฝากขังนัดสุดท้ายอีกด้วย

ตรงนี้ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน การชี้นำและแทรกแซงให้อัยการสูงสุด
มีความเห็นสั่งฟ้องคดีไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการนั้นทำไม่ได้เด็ดขาด!


การสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่

ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความเห็นของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม หรืออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

และที่ประจวบเหมาะกันจริงๆ

อัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้อง 19 แกนนำ นปช.ว่า
เป็นตัวการให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2 พันคน

ตอนนี้ก็เท่ากับว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐ มนตรี
และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ
รวมทั้ง ศอฉ. สามารถจับตัวการฆ่าประชาชนได้แล้ว!??

แต่เชื่อว่าสังคมก็ยังกังขาอยู่ดี

ยกตัวอย่างง่ายๆ

คดี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม
ที่มีพยานนับไม่ถ้วนยืนยันว่าเห็นวิถีกระสุนยิงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส

แต่ดีเอสไอสรุปว่าเป็นฝีมือของ 19 แกนนำนปช.

เหยื่อสไนเปอร์ที่บ่อนไก่ ดินแดง ซอยรางน้ำ ศาลาแดง ลุมพินี สีลม
ตายไปนับไม่ถ้วน ที่บาดเจ็บทุพพลภาพก็ออกมายืนยันแล้วว่าใครเป็นคนยิง

แต่ดีเอสไอสรุปว่าเป็นฝีมือของ 19 แกนนำนปช.

คดีนักข่าวญี่ปุ่นและอิตาลีโดนยิงเสียชีวิตจนกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก
ญาติพี่น้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบการตาย

แต่ดีเอสไอสรุปว่าเป็นฝีมือของ 19 แกนนำนปช.

การดำเนินคดีต้องยึดที่พยานหลักฐานเป็นหลัก
ไม่ใช่ตั้งธงไว้ล่วงหน้าว่าจะออกมาแบบไหน หรือออกมาแบบที่ถูกใจใคร

ถึงเวลานี้รัฐบาลต้องเลิกซื้อเวลาอยู่ไปวันๆ เลิกปฏิเสธความรับผิดชอบ

คำถามง่ายๆ ถ้าไม่สั่งเคลื่อนกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าไปสลายม็อบแล้ว
จะบาดเจ็บล้มตายขนาดนี้หรือ??

เมื่อมีการบาดเจ็บล้มตายแล้วก็ต้องสอบสวนให้กระจ่างและโปร่งใส

ไม่ใช่สอบเองเออเองแบบนี้

องค์กรต่างประเทศต้องการเข้ามาร่วมสอบเพื่อให้เกิดความเป็นกลาง
รัฐบาลกลับปิดกั้นไม่ยอมรับ

ถึงแม้ว่าวันนี้จะสรุปกันไปเองแล้วว่า 91 ศพเป็นฝีมือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

แต่อย่าลืมว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย

ความจริง 91 ศพเอาใบบัวปิดไม่มิดหรอก

พิซซ่าก่อการร้าย


ผลจากการสำรวจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งชาติ
ซึ่งเป็นองค์กรที่รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธด้วยเหตุผลทางการเมือง
เพราะเป็นคณะทำงานที่มีทัศนคติในทางที่ดีกับนายกฯคนนี้เป็นอย่างยิ่ง

ข้อมูลที่กรรมการสิทธิฯตรวจพบ จากการเดินทางสำรวจผู้ถูกจับกุมคุมขังด้วย
ความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา

กรรมการสิทธิฯพบว่า มีเยาวชนจำนวนไม่น้อย ถูกขังอยู่ในเรือนจำ

จนทำให้ขาดการเรียนไปแล้ว เยาวชนเหล่านี้
บางคนไม่ใช่คนเสื้อแดงด้วยซ้ำ แต่ผ่านไปดูเหตุการณ์แล้วถูกจับกุม

กรรมการสิทธิฯระบุเองว่า มีเด็กส่งพิซซ่ารวมอยู่ด้วย


เด็กส่งพิซซ่าซึ่งทำงานหาเงินเล่าเรียน เพราะครอบครัว ยากจน

ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่ผู้ก่อจลาจลอย่างแน่ นอน!

เป็นคำถามว่า ระบบตรวจสอบกลั่นกรองของรัฐ
ในการจับกุมผู้คนในข้อหาก่อการร้าย เป็นเสื้อแดงหัวรุนแรงจลาจลนั้น มันเที่ยงธรรมจริงหรือ

นอกจากเด็กส่งพิซซ่าที่กรรมการสิทธิฯไปพบเองแล้ว ยังมีเด็กขายไอติมรวมอยู่ด้วย

วันนี้อนาคตทางการศึกษาของเด็กที่ขยันทำมาหากิน
เพื่อหาเงินเรียน ต้องสะดุด เพราะถูกจับเพียงเพราะอยู่ใกล้ที่ชุมนุม

จับอย่างเหมารวมไปหมด

ทำให้เด็กๆได้รับผลกระทบหลายต่อหลายคน

รัฐบาลอภิสิทธิ์จะรับผิดชอบบ้างไหม!?

จากเด็กส่งพิซซ่า เด็กขายไอติมอันน่าเศร้า

เมื่อไม่กี่วันก่อน นักข่าวข่าวสดเพิ่งไปพบเด็กร้านอาหาร ญี่ปุ่น ในเครือเอ็มเค

นอนพักรักษาตัวอาการสาหัสอยู่ในโรงพยาบาลราชวิถี

นายอำพล นาคบำรุง วัย 18 ปี ถูกยิงทะลุคอ
ระหว่างยืนดูทหารสลายม็อบเมื่อวันที่ 15 พ.ค. บริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ


เช้าวันนั้นขณะออกจากบ้านแถวดินแดง จะขึ้นรถ เมล์ไปทำงาน ผ่านไปเห็นผู้ชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก เลยหยุดยืนดู ไม่คิดว่าทหารจะยิงเพราะชาวบ้านเยอะแยะ แต่ก็ยิง

วันนี้สภาพร่างกายของเด็กร้านเอ็มเคยังเคลื่อนไหวไม่ได้หลายส่วน ต้องพักรักษาตัวยาวนาน

เด็กคนนี้บอกด้วยว่า อยากให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาล โดนอย่างเขาบ้าง

นี่คือตัวอย่างของการปราบม็อบอย่างไม่รับผิดชอบ ยิงดะ และจับอย่างเหวี่ยงแห

ความจริงเหล่านี้จะฟ้องประจานรัฐบาลออก มาเรื่อยๆ!

“เอียงกะเท่เร่” ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของรัฐบาลอภิสิทธิ์



เมื่อกล้องจับภาพเหตุการณ์ที่บุคคลคนหนึ่งพยายามสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยการขับรถพุ่งเข้าชนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายในขณะปฏิบัติหน้าที่
นอกจากจะขับรถพุ่งชนแล้วบุคคลดังกล่าวยังถอยรถทับเจ้าหน้าที่อีกด้วย

และจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่หนึ่งรายขาหัก
และที่เหลือได้รับบาดเจ็บ 
โดยปกติบุคคลนั้นสมควรที่จะได้รับโทษจำคุกอย่างเหมาะแก่การกระทำ

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
หากคนร้ายคนนั้นคือสมาชิกของกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงที่มีคณะอำมาตย์หนุนหลัง
อย่างกลุ่มพันธมิตร เราขอต้อนรับคุณเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของนายอภิสิทธิ์

วันนี้ศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานครได้ติดสินคนขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าตำรวจในวิดีโอ
นายปรีชา ตรีจรูญ ผู้ชุมนุมกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงอย่างกลุ่มพันธมิตร
ผู้ซึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในระหว่างการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร
ในเดือนตุลาคมปี 2551
โดยศาลได้ตัดสินให้นายปรีชาจำคุกเป็น เวลา 3 ปี
ลดโทษจำคุกให้เหลือเป็นรอลงอาญา 2 ปี
และให้ทำงานสาธารณะประโยชน์บริการสังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
ในคำตัดสินอย่างเป็นทางการของศาลระบุว่านายปรีชามีเจตนาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง
แต่เนื่องจากนายปรีชาไม่เคยต้องโทษทางอาญามาก่อนศาลจึงลดโทษให้
มาถึงตรงนี้เราคงต้องนั่งเดาว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่

เราควรจะเปรียบเทียบ
การกระทำและโทษที่นายปรีชาได้รับกับพราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมณ์ชาติ
พราหมณ์ผู้ทำพิธีเทเลือดหน้าทำเนียบรับบาลเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้

การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีที่เทเลือดคนหน้าทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพิธีชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง
จริงอยู่ที่การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีอาจเป็จสิ่งที่ไม่่น่าพึงประสงค์
แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความรุนแรงหรืออันตรายแก่ผู้ใด

ในวันที่ 2 สิงหาคม พราหมณ์ศักดิ์ระพีได้ถูกตัดสินให้จำคุก
ในข้อหามั่วสุมและกีดขวางการจลาจร


เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่ารัฐสองมาตรฐานแบบโอเวลเลี่ยน
(กล่าวถึงนิยายเรื่อง1984 ของGeorge Orwell)
ในประเทศไทย ได้ก้าวไปสู่ระดับที่งงงวยและน่าขันยุครัฐบาลอภิสิทธิ์
เพราะการพยายามฆ่าคนตายนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ในขณะที่การกีดขวางทางจราจรหมายถึงการถูกจองจำที่ยาวนาน

วีรพงษ์ รามางกูร: กรณีเขาพระวิหาร

เมื่อปี พ.ศ. 2505 ขณะนั้นยังเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดูจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกปราศรัยทางโทรทัศน์เรื่อง คำพิพากษาของศาลโลก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดไปควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตาม คำพิพากษาของศาลโลกโดยการถอนกำลังออกจากพระวิหาร และต้องคืนโบราณวัตถุกลับไปให้กัมพูชา พร้อมกันนั้นก็ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาและมอบหมายให้สหภาพพม่า เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของทางราชการไทยในพนมเปญและที่เมืองอื่น ๆ

ทางรถไฟที่ทอดยาวจากหัวลำโพงไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นอันต้องหยุด ประเทศไทยประกาศปิดชายแดน ตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ประเทศก็หมดความเป็นมิตรต่อกัน แต่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศตามชายแดน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันต่างก็ยังไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายกันตามปกติ จนนายพลลอนนอลรัฐประหารขับไล่ สมเด็จพระเจ้าสีหนุออกไปร่วมกับฝ่ายเขมรแดง เราจึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชาขึ้นมาใหม่ แล้วข่าวคราวเรื่องเขาพระวิหารก็เงียบหายไป

เมื่อปี 2506 พวกเรานิสิตรัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง ต้องเรียนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดกกับท่านศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคณะทนายของฝ่ายไทย หัวหน้าคณะทนายความของไทยเป็นฝรั่งเข้าใจว่าเป็นอเมริกัน ส่วนหัวหน้าทนายความของฝ่ายกัมพูชาเป็นชาวฝรั่งเศส

พวกเราก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ว่า ประเด็นที่ต่อสู้กันนั้นว่าอย่างไร ท่านก็บอกให้พวกเรากลับไปอ่านคำพิพากษาของศาลโลกเสียก่อนแล้วท่านจะอธิบาย ให้ฟัง

เมื่ออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจขึ้นเป็นอันมาก เพราะคำพิพากษาเขียนเหตุผลไว้อย่างละเอียด ทั้งคำฟ้องร้องของกัมพูชาและคำแก้คดีของฝ่ายไทย รวมทั้งเอกสารสนธิสัญญาแผนที่แนบท้ายสัญญา ลายพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงมีไปถึงข้าหลวงฝรั่งเศสประจำกัมพูชา เรื่องขออนุญาตเสด็จไปเยี่ยมชมเขาพระวิหาร ภาพถ่ายสมเด็จกับ ม.จ.พูนพิศมัยพระธิดาเสด็จเขาพระวิหาร

ประเด็นที่ต่อสู้กันก็คือ แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับปี 1904 ที่ให้เอาสันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่แผนที่แนบท้ายใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ขีดมาตามสันปันน้ำ แล้วมาวกเอาปราสาทเขาวิหารไปเป็นของกัมพูชา แล้วจึงวกกลับมาบนสันปันน้ำอีกทีหนึ่ง

เรารู้ว่าแผนที่นั้นผิดไม่ตรงกับตัวหนังสือในสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ค.ศ. 1904 อีกทั้งไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศส ทำฝ่ายเดียวแล้วส่งมาให้ไทย ไทยรับรองให้ความเห็นชอบเพราะฝ่ายไทยไม่ได้ส่งตัวแทนไปร่วมคณะปักปันเขตแดน ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา

แต่ในที่สุดศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะแผนที่ แนบท้าย ค.ศ. 1904 เป็นส่วนหนึ่งของ สนธิสัญญาทั้งในแง่เอกสารและข้อเท็จจริงที่ทางไทยไม่ได้ทักท้วงภายใน 10 ปี อีกทั้งหัวหน้าคณะปักปันเขตแดนของฝ่ายไทยจะเสด็จเยี่ยมปราสาทพระวิหารก็ทรง มีลายพระหัตถ์ขออนุญาตข้าหลวงฝรั่งเศส ข้าหลวงฝรั่งเศสก็ออกมารับเสด็จพร้อมกับชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสา มีการถ่ายรูปร่วมกัน

อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านเล่าให้พวกเราลูกศิษย์ฟังว่า ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเราคงจะแพ้คดี แต่โดยหน้าที่ที่เป็น คนไทยและจรรยาบรรณของทนายความก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ อย่างถึงที่สุด ท่านเล่าว่าทางที่ถูกเราไม่ควรตกลงให้กัมพูชานำคดีขึ้นศาลโลก เพราะคดีที่จะขึ้นสู่ศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมให้ศาลโลกพิจารณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ท่านต้องการรักษาเกียรติภูมิของชาติว่าเราเป็นชาติอารยะ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ และทนายฝรั่งเชื่อว่าฝ่ายเราจะเป็นฝ่ายชนะ อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ท่านเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อนายกรัฐมนตรีตัดสินใจแล้วท่านก็ต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในฐานะที่มีอาชีพทนายความและเป็นคนไทย
เมื่อฝ่ายเราแพ้คดีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับว่า แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา มีผลบังคับใช้เหมือนกับกรณีเจดีย์สามองค์ ที่ด่านเจดีย์สามองค์ที่อังกฤษขีดวกเข้ามาทางฝ่ายไทยเป็นปากนกแก้วให้เป็น ของพม่า

ปัญหาก็คือ ความชัดเจนว่าขอบเขตปราสาทพระวิหารนั้นกินขอบเขตพื้นที่ไปถึงไหน เพราะแผนที่ที่ฝรั่งเศสส่งมาให้ไทยเรารับรองหรือทักท้วงนั้นใช้มาตราส่วนย่อ มาก ดูได้ไม่ชัด

คณะรัฐมนตรีในสมัยจอมพลสฤษดิ์จึงตีความคำพิพากษาว่า ขอบเขตของปราสาทพระวิหาร หรือ ′The Temple of Pra Vihar′ (สื่อมวลชนไทย สะกดภาษาอังกฤษตามสำเนียงเขมรว่า The Temple of Preach Vihear ซึ่งไม่ควรสะกดอย่างฝรั่ง ควรสะกดตามสำเนียงไทย หรือสำเนียงแขกเจ้าของภาษาสันสกฤตว่า The Temple of Pra Vihar อาจจะเพราะความไม่รู้หรือไม่ก็เพราะเห่อฝรั่ง)มีขอบเขตแค่ไหน

ทางฝ่ายกัมพูชาก็ว่า ′สระตาล′ห่างออกมาไกลสองสระที่เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ขอมข้างหนึ่ง และเป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของพราหมณ์ข้างหนึ่งก่อนขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่ ปราสาท เป็นส่วนหนึ่งของเทวสถานแห่งนี้ นอกจากนั้น ไกลออกมาถึงสถูปคู่ ซึ่งคงจะหมายถึงประตูทางเข้าพระวิหาร ซึ่งไกลออกมาถึง 2 ก.ม. เป็นเครื่องหมายแสดงขอบเขตของพระวิหาร รวมทั้งหมดจึงจะเป็นเทวสถานหรือ พระวิหารแห่งพระอิศวรเจ้าที่สมบูรณ์ เหมือนกับอาณาเขตของวัดคงไม่ใช่เฉพาะพระอุโบสถภายในเขตที่ลงลูกนิมิตและใบ เสมา คงเริ่มจากซุ้มประตูภายในกำแพงทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีศาลาราย วิหารคต ศาลา กุฏิพระ ฯลฯ ด้วยประกอบเข้าจึงเป็นวัด หรือ ′พุทธสถาน′ หรือ ′พระวิหาร′

ทางเราก็ตีความว่า คำพิพากษาหมายถึงเฉพาะตัวพระวิหารสิ้นสุดที่บันไดขึ้นวิหารเท่านั้น ดังนั้นพื้นที่รอบพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงยังเป็นของไทย เขมรบอกไม่ใช่ของไทย กัมพูชาไม่เคยรับรู้ ดังนั้นต่างคนต่างอ้างอธิปไตยเหนือพื้นที่ ดังกล่าวจนทางฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทางยูเนสโกจึงขอให้เขมรเจรจากับไทยว่าจะร่วมกันพัฒนาอย่างไรให้เป็นเทวสถาน ที่สมบูรณ์ เพราะทางขึ้นอยู่ทางฝั่งไทย

หนังสือช่วยจำที่ลงนามโดย รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ปี 2543 ก็ถูกต้องแล้ว หนังสือช่วยจำลงนามโดย รมต.นพดล ปัทมะ ที่ทำให้เขมรยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม เป็นพื้นที่ทับซ้อนก็ถูกต้อง หนังสือของ รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เพื่อปูทางไปในการปักปันเขตแดน ส่วนของ รมต.นพดล ปัทมะ ก็เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก และร่วมกันพัฒนาให้เป็นมรดกโลก ทั้ง 2 บันทึกมีประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศและของโลกในแง่สันติภาพและวัฒนธรรมร่วมกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบใช้ประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อน บ้านมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองใช้ประหัตประหารกันทางการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของชาติ แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของตนเอง เมื่อฝ่ายหนึ่งทำเรื่องให้ง่ายให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน อีกฝ่ายต้องการให้เป็นเรื่องยากให้เป็นโทษกับประเทศชาติ อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน มีพรรคฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็ใช้กรณีนี้เล่นงานผู้นำของตน เอาอย่างประเทศไทยเรื่องก็เลยทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่

ดีที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายมีความเป็นอารยะพอ ไม่เถื่อนกระโจนไปตามการเมือง ซึ่งต้องชมเชยกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ มิฉะนั้นก็ต้องรบกัน พาลูกหลานชาวบ้านไปตายโดยเปล่าประโยชน์

สื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศก็พลอยไปเล่นการเมืองกับเขาด้วย ไม่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยศึกษา ไม่อ่านบันทึกของอาจารย์ ดร.บวรศักดิ์ ดร.ชาญวิทย์ คำพิพากษาของศาลโลกก็คงไม่อ่านอยู่แล้ว

ถ้าเรื่องไปถึงคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคงไม่มีทางเลือกต้องกลับไปที่ศาลโลกให้ตัดสินให้ชัดเจนว่า พื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม.เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหรือไม่ เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะได้เคยตกลงให้ศาลโลกพิจารณามาแล้ว

คิดอย่างสามัญสำนึก โอกาสที่เราจะแพ้น่าจะสูงกว่าโอกาสที่จะชนะ ทางที่ดีปล่อยให้คลุมเครือดีกว่าให้ศาลโลกตัดสินอีกครั้ง โดยถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน น่าเสียใจที่เราไปเล่นการเมืองกันจนวิถีทางการแก้ปัญหาที่พัฒนามาด้วยดีนั้น กำลังพังทลายลง พอรัฐบาลจะลงก็ต้องหาบันไดลง

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กรณีพระถูกทหารจับมัดมือไพล่หลัง

พระศรีอาริยะ อริยวังโส จากธรรมสถานสวนศรีอาริยะธรรม คือหนึ่งในพระสงฆ์ที่ถูกทหารจับมัดมือไพล่หลังและถูกคุมขังนานกว่า 11 วัน

ขอคืนพื้นที่ความจริง ผู้ถูกยิงที่วัดปทุมให้สัมภาษณ์ DNNnews

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ไล่กษิต" ที่เยอรมนี


ดูคลิปที่พี่น้องชาวไทยผู้รักประชาธิปไตยตะโกนโห่ไล่และวิ่งด่าประณามใส่ หน้า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเหตุการณ์ที่เยอรมนีแล้ว ยอมรับว่าได้เห็นอะไรที่ลึกซึ้งสูงล้ำกว่าความสะใจ แต่ยาวไกลไปถึงขั้นระบอบการปกครองเมืองไทยเลยทีเดียว

คนไทยในวันนั้น เขาไม่ได้รุมด่าข้าราชการเกษียณอายุที่สติไม่สมประกอบที่ชื่อนายกษิตเท่า นั้น แต่เขาด่าฝากไปถึงคนที่เลือกนายกษิตมาเป็นตัวแทนทางการทูตในระดับชาติ และคอยรักษาเก้าอี้ให้นายกษิตในยามที่คนรอบตัวเกิดคลื่นเหียนและทนทานไม่ได้ ขึ้นมา

ใครนึกว่านายกษิตเป็นตัวแทนพันธมิตรฯ ก็คงไร้เดียงสาไปหน่อย เส้นสายของเขาก๋วยจั๊บกว่านั้นมากนัก

คำด่าจากเยอรมนีจึงทะลวงสังคมหวงห้ามของไทยไปถึงคนโรคจิตบางคนที่ชอบคนบ้าด้วยกันอย่างนายกษิต จนแทบจะกระอักเลือด

คน ไทยในต่างประเทศมีเสรีภาพที่สมบูรณ์กว่าในการเข้าถึงข้อมูลความจริงของเมือง ไทย เขาก็บุกตลุยไปถึงก้นบึ้งของปัญหาอย่างคนตาสว่างและมีปัญญา ระดับต่ำๆ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุน หรือแม้แต่คนอย่าง เปรม ติณสูลานนท์ นั้น เขาก้าวข้ามไปหมดแล้ว

คนไทยในเมืองไทยที่มีปัญญา และแสวงหาความรับรู้ที่สูงกว่าที่สังคมถูกบังคับให้สั่งสอนกันมา ก็รู้ข้อมูลความจริงอย่างเดียวกันและเป็นแนวร่วมรอความเปลี่ยนแปลงครั้ง สำคัญอยู่ เขาก็เข้าใจทันทีว่าพี่น้องเราที่เยอรมนีกำลังตีวัวกระทบคราด

คราด ที่ว่านี้ไม่เคยถูกกระทบ คราวนี้ถูกกระทบจากคนที่เขาขับไล่ออกไปจากเมืองไทยด้วยความยากจนค่นแค้นทาง เศรษฐกิจ จนเขาต้องไปตายดาบหน้า บางคนพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้สักคำ เงินทองก็ไม่มี อาศัยแต่ความทรหดอดทนที่ปู่ย่าตายายฝังไว้ในเนื้อตัวจนกระทั่งตั้งตัวได้ เขาจึงรักและเห็นคุณค่าในระบอบประชาธิปไตย เพราะเขาลืมตาอ้าปากได้จากระบอบนั้น เมื่อเมืองไทยในยุคก่อนทำท่าจะเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ขึ้นมา เขาก็รักและหวงแหนไปด้วย

เมื่อคราดเก่าๆ สนิมขึ้นเข้ามาทิ่มตำทำลายระบอบประชาธิปไตยรอบนี้เขาจึงลุกขึ้นสู้กับคราดนั้น

ครั้ง หนึ่งเมื่อ นายกษิต ภิรมย์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี เขาเคยขึ้นเวทีด่ากราดว่าผู้หญิงไทยที่แต่งงานร่วมครอบครัวกับชาวเยอรมันว่า น่าอับอาย เสียเกียรติยศชาติ จนผู้จัดต้องไล่ออกจากงานบุญที่พี้น้องคนไทยร่วมจัดและอุตส่าห์เชิญฝ่ายการ ทูตมาร่วมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์

วันนั้นเขานึกแค่ว่านายกษิตคือศักดินาหลงฝูงที่พลัดมาเป็นใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศไทย ซึ่งมีข้าราชการสันดานแบบนี้อยู่มากเท่านั้น

แต่ วันนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่า ทัศนะของนายกษิตคือทัศนะของชนชั้นบนในเมืองไทยที่มองคนไทยเป็นฝุ่นเมือง ไม่มีราคาค่างวด อยากจะฆ่าฟัน จับยัดคุก ทำลายชีวิตของเขาและครอบครัวเมื่อไหร่ก็ทำได้ทุกเมื่อ นายกษิตเป็นตัวแทนของสังคมพิกลพิการของไทยที่คนชั่วได้เป็นใหญ่และคนไทย (แท้ๆ) ต้องน้ำตาไหลริน

เสียงด่าที่เยอรมันนีจึงด่าลึกลงไปถึงกล่องดวงใจของเมืองไทย โดยฝากขี้ข้าอย่างนายกษิตไป ลึก เจ็บ และบอกถึงอนาคตของไทยได้เป็นอย่างดี

ต้อง ขอบคุณคนอย่างนายกษิตที่ทำให้ขบวนปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยของไทยมีความเข้ม แข็งมั่นคงและเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ เพราะนายกษิตเป็นตัวแทนที่ดีเหลือเกินของความชั่วร้ายที่สมบูรณ์.

ความตายของ'ฟาบิโอ' กับ ความพยายามไม่ให้ความจริงปรากฏ : พวกคุณกลัวอะไรหรือครับ ???


ตอนที่ 1 : “แด่ฟาบิโอ โพเลนกี”
ฟา บิโอ โพเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีวัย ๔๘ ปี ทำงานถ่ายภาพให้นิตยสารใหญ่หลายแห่งเช่น Vanity Fair, Vogue, Marie Claire และ Elle เป็นต้น ตลอด ๒๙ ปีที่ประกอบวิชาชีพนี้ เขาเที่ยวตระเวนถ่ายภาพไปราว ๗๐ ประเทศทั่วโลก เขาเคยนำภาพถ่ายไปแสดงนิทรรศการทั้งที่ Cité des Sciences et de l’Industrie อันเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ณ กรุงปารีสและในงาน Paris Book Expo เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และร่วมงานสร้างภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ พ่อลูกนักมวยชาวคิวบาที่พ่อเป็นแชมป์มวยโอลิมปิก ส่วนลูกเป็นแชมป์มวยแห่งชาติของคิวบาด้วย

อิซาเบลลา โพเลนกี น้องสาวของฟาบิโอ เล่าในการแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ศกนี้ว่า ฟาบิโอเป็นคนมีจิตวิญญาณเสรี เปิดใจกว้าง คบหาง่าย ยึดมั่นคุณค่าที่ตนเชื่อถือ และรักสันติ เขารักเมืองไทย อยากอยู่ในเมืองไทย และได้เลือกเมืองไทยเป็นบ้าน เพราะเขารักผู้คนที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอรู้สึกขอบคุณคนไทยบางคนที่เสี่ยงชีวิตช่วยนำฟาบิโอส่ง โรงพยาบาล

สองวันก่อนเสียชีวิตด้วยคมกระสุนกลางถนนระหว่างทหาร บุกล้อมปราบที่ชุมนุมราชประสงค์ของ นปช. ฟาบิโอได้เขียนข้อความสั้น ๆ ไว้ในหน้า Facebook ของเขา ซึ่งอิซาเบลลาอ่านให้ฟังทั้งน้ำตาว่า:

“ทุก ๆ วันเหมือนของขวัญที่เราได้มา ฉะนั้นจงทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้เป็นสุข ด้วยรักแด่ทุกคน”

เมื่อ เดือนกรกฎาคมศกนี้ Reporters Without Borders (ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน) อันเป็นองค์กร เอ็นจีโอระหว่างประเทศที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของสื่อสิ่งพิมพ์และประณามการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงานการสืบสวนเรื่อง “Thailand: Licence to Kill” (ประเทศไทย: ใบอนุญาตฆ่า http://en.rsf.org/IMG/ pdf/REPORT_RSF_THAILAND_Eng.pdf ) เขียนโดย Vincent Brossel & Nalinee Udomsinn เพื่อประมวลเสนอข้อมูลจากประจักษ์พยานเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อสื่อมวลชนทั้ง ไทยและเทศที่เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตที่ผ่านมารวม ๑๐ กรณี โดยยกกรณีการตายของ ฟาบิโอ โพเลนกีขึ้นมาเป็นอันดับแรกสุด รายงานระบุข้อมูลเกี่ยวกับกรณีนี้ไว้ที่หน้า ๔ – ๕ ว่า: -

ช่างภาพ ฟาบิโอ โพเลนกี ถูกยิงตายราว ๑๐.๔๕ น. วันที่ ๑๙ พฤษภาคมใกล้สวนลุมพินี ห่างใจกลางที่ชุมนุมเสื้อแดงราวหนึ่งกิโลเมตร โพเลนกีถูกยิงในสภาพสวมหมวกกันน็อคขณะเกิดการปะทะอย่างรุนแรงระหว่างทหารกับ ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ป้องกันบังเกอร์อยู่ มีผู้อื่นถูกสังหารอีก ๔ คนในช่วงการปะทะนี้

มาซารุ โกโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นพยานรู้เห็นการตายของโพเลนกี เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ Reporters Without Borders ฟังว่า: -

***ถาม: คุณช่วยบรรยายสภาพที่คุณเป็นพยานรู้เห็นการตายของฟาบิโอให้หน่อยได้ไหม?มาซารุ โกโตะ: ผมเห็นฟาบิโอหนแรกกลางเดือนเมษายนระหว่างการชุมนุมในกรุงเทพฯซึ่งผมอาศัย อยู่มา ๙ ปีแล้ว เรากลายเป็นเพื่อนกัน…ผมอยู่ใกล้เขาตอนเขาถูกฆ่า เราอยู่ตรงแยกถนนสารสินตัดกับราชดำริในกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี กองทัพเริ่มโจมตี นปช.ที่นั่นเช้าวันนั้น ฟาบิโอกับผมกำลังถ่ายภาพจากฝั่งนปช. คุณจะว่าเราอยู่ตรงแนวหน้าสุดก็ได้ กองทัพเริ่มระดมยิงหนักหน่วงขึ้นราว ๑๐ โมง ผมอยากออกจากแยกนั้นเพราะผู้ชุมนุมคนหนึ่งเพิ่งบอกผมว่าพลซุ่มยิงกำลังจะยิง ใส่เรา เรากำลังถอนตัวอยู่ทีเดียวเมื่อผมสังเกตเห็นร่างคน ๆ หนึ่งอยู่บนถนนลาดยางข้างหลังผม ผมรู้ทันทีว่านั่นคือฟาบิโอ ผมบอกไม่ถูกว่ากระสุนยิงมาจากไหน

ผมไม่แน่ใจว่าเขาถูกฆ่าเพราะเป็น นักข่าวหรือเปล่า กระสุนที่ยิงสวนกันไปมาหนาแน่นมากตอนนั้น ไม่มีการยับยั้งชั่งใจกันต่อไปแล้วไม่ว่าจะในฝ่ายทหารหรือนปช


ภาพฟาบิโอถูกยิงโดย Masuro

*** ถาม: กล้องถ่ายรูปของฟาบิโอหายไป คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?มาซารุ โกโตะ: เมื่อเขาถูกยิง เราพยายามดึงเขาให้พ้นวิถีกระสุน มีการเผยแพร่ภาพวีดิโอที่พวกเรากำลังลากเขาในตอนหลัง คุณจะเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนนักข่าวกุมมือข้างหนึ่งของฟาบิโอและกล้อง ของเขาไว้ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เจอกล้องถ่ายรูปนี้เลย เรากำลังหามันอยู่

*** ถาม: คุณคิดว่าฟาบิโอถูกหมายหัวในฐานที่เป็นนักข่าวหรือเปล่า?มาซารุ โกโตะ: มีข่าวลือแพร่สะพัดตั้งแต่กลางพฤษภาคมว่าพลซุ่มยิงไม่ทราบฝ่าย อาจเป็นฝ่ายกองทัพหรือนปช.ก็ได้ กำลังจะฆ่านักข่าว คนบางคนอาจอยากให้วิกฤตเลวร้ายลงเพื่อประโยชน์ของตน พอฆ่านักข่าวได้ คุณก็จะยกระดับความวุ่นวายขึ้นไปอีก แต่ผมไม่มีหลักฐานว่าข่าวลือนี้มีข้อเท็จจริงอะไรรองรับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้แนะนำว่าอย่าไปที่บางแห่งที่ ถือว่าอันตรายเกินไป

*** ถาม: คุณคิดว่าทางตำรวจไทยชันสูตรพลิกศพอย่างถี่ถ้วนไหมหลังฟาบิโอตาย?มาซารุ โกโตะ: ศพของเขาถูกฌาปนกิจอย่างรวดเร็วหลังเขาตาย ผมไม่แน่ใจว่าตำรวจได้ชันสูตรพลิกศพอย่างถี่ถ้วนหรือเปล่า

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ทาง Reporters Without Borders ได้สัมภาษณ์บุคคลอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับการตายของโพเลนกี คือ นักถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีชาวสหรัฐฯชื่อ แบรด คอกซ์ เขาอยู่ในที่เกิดเหตุการยิงและตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนด้วย คอกซ์เป็นผู้สร้างหนังสารคดีเรื่อง “ใครฆ่าเจีย วิเจีย?” เกี่ยวกับกรณีฆาตกรรมนักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงานชาวเขมรคนหนึ่งซึ่งหนังดัง กล่าวถูกสั่งห้ามฉายในกัมพูชา

***** ถาม: เกิดอะไรขึ้นครับ?
แบรด คอกซ์: ผมไม่เคยพบฟาบิโอมาก่อน ตอนนั้นผมเลือกไปอยู่ตรงแยกถนนตัดกันทางฝั่งบังเกอร์เสื้อแดง มีการระดมยิงจากฝ่ายกองทัพมาหนักทีเดียว พวกเสื้อแดงก็ตอบโต้ด้วยระเบิดเพลิงและระเบิดทำเอง กระสุนนัดหนึ่งยิงถูกยางรถยนต์ข้างหน้าผมห่างหัวผมแค่ ๔๐ เซนติเมตร พอเกือบ ๑๑ โมง ผมเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างบนถนนโพ้นออกไป ผมก็เลยไปดูแล้วกลับมาที่เขตเสื้อแดง ตอนกลับนี่แหละที่ผมรู้สึกปวดแปลบที่เข่าขวาและรู้ตัวว่าถูกยิงเข้าแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่หนักหนานัก ผมหันกลับเพื่อพยายามมองว่ามันยิงมาจากไหนและตอนนั้นแหละที่ผมเห็นฟาบิโอ กองอยู่กับพื้นห่างไปไม่ถึง ๑๐ เมตร ผมเริ่มถ่ายหนังไว้เมื่อนักข่าวคนอื่นและพวกเสื้อแดงลากเขาไปหาที่กำบังแล้ว เอาเขาขึ้นมอเตอร์ไซค์ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

ฟาบิโอถูกบรรทุกซ้อนหลังมอเตอร์ไซค์ส่งโรงพยาบาล

***** ถาม: เกิดอะไรกับกล้องถ่ายรูปของเขา?แบรด คอกซ์: ในฟิล์มหนังที่ผมถ่ายคุณจะเห็นชายคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นนักข่าวเข้าไปช่วยฟา บิโอและถือกล้องของเขาอยู่ แต่ไม่ได้ยื่นกล้องคืนให้มา (ชมหนังข่าวเหตุการณ์ตอนนี้ได้ที่ www.youtube.com/ watch?v=BhPydgjZ9GI )

***** ถาม: ฟาบิโอถูกหมายหัวในฐานที่เป็นนักข่าวหรือเปล่า?
แบรด คอกซ์: ผมพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าใครยิงฟาบิโอกับผม ผมคิดว่าเราถูกยิงโดยกระสุนจากทหารหรือพลซุ่มยิง ตอนที่พวกเขายิงเรา มีคนอยู่บนถนนแถวนั้นไม่มากนักและพวกเสื้อแดงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ห่างออก ไปกว่า ๑๐ เมตร ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงถูกยิงใส่ เราตกเป็นเป้าหมายหรือโดนลูกหลงกันแน่? ผมก็ไม่รู้ ผมกำลังถือกล้องถ่ายหนังตัวใหญ่อยู่และก็เห็นได้โดยง่ายว่าผมเป็นชาวต่าง ชาติ แต่ฟาบิโอเขาใส่ชุดดำ เป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นหลงเข้าใจผิดไปว่าเขาเป็นพวกเสื้อดำคนหนึ่ง?
======================================================

ตอนที่ 2 : "ความตายที่รอคำตอบของฟาบิโอ"

รายงาน พิเศษของ The Committee to Protect Journalists (CPJ-คณะกรรมการปกป้องนักข่าว-อันเป็นองค์การอิสระที่ไม่แสวงกำไรเพื่อส่ง เสริมเสรีภาพหนังสือพิมพ์ทั่วโลกด้วยการปกป้องสิทธิของนักข่าวที่จะรายงาน ข่าวโดยไม่ต้องกลัวถูกเล่นงานตอบโต้) เรื่อง "In Thailand unrest, journalists under fire" (ในเหตุไม่สงบในประเทศไทย นักข่าวถูกยิงใส่-http://cpj.org/reports/ 2010/07/in-thailand-unrest-journalists-under-fire.php) เขียนโดย Shawn W. Crispin ผู้แทนอาวุโสของ CPJ ประจำเอเชียอาคเนย์และเผยแพร่เมื่อ 29 กรกฎาคม ศกนี้

ได้ระบุถึงกรณีสังหารฟาบิโอ โพเลนกี ว่า: ในกรณีการยิงโพเลนกี, การสอบสวนที่อึมครึม

การ ตายของฟาบิโอ โพเลนกี ช่างภาพชาวอิตาเลียน เป็นศูนย์รวมเรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉบับต่างๆ ที่มาประชันขันแข่งกัน โพเลนกีวัย 48 ปีถูกฆ่าด้วยกระสุนปืนเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม ศกนี้ระหว่างรายงานข่าวปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับไล่ผู้ชุมนุมออกจากบริเวณ ถนนราชดำริอันเป็นเขตพื้นที่การชุมนุมประท้วงที่ซับซ้อนพิสดารซึ่ง นปช.ได้สร้างขึ้นในย่านการค้าสุดยอดของกรุงเทพฯ

แบรดลี คอกซ์ นักทำหนังสารคดีผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เล่าว่า เช้าวันนั้นก่อนเกิดเหตุทหารได้ยิงปืนประปรายจากด้านหลังเครื่องกีดขวางเข้า ใส่พื้นที่ห่างออกไป 200 เมตรซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของ นปช. คอกซ์บอกว่าทั้งเขากับโพเลนกีได้บันทึกภาพผู้ประท้วงคนหนึ่งถูกยิงที่ขาเวลา ประมาณ 10.45 น.

เวลา 10.58 น. เมื่อรู้สึกว่าการยิงสงบลงพักหนึ่ง คอกซ์เล่าว่า เขาก็ออกจากบังเกอร์ที่ นปช.คุมอยู่ไปยังถนนที่เกือบโล่งร้างเพื่อสืบดูว่าความปั่นป่วนวุ่นวายใน หมู่ผู้ประท้วงห่างไปราว 30-40 เมตรนั้นมันเรื่องอะไรกัน คอกซ์บอกว่าเขาเชื่อว่าโพเลนกีตามหลังเขาไปห่างกันไม่กี่ก้าว ขณะวิ่งไปตามถนน คอกซ์รู้สึกปวดแปลบด้านข้างของขา ปรากฏว่ากระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวหัวเข่าเขาบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อเขาหันกลับไปมองในทิศทางของกองทหาร เขาก็เห็นโพเลนกีแผ่หราอยู่กับพื้นข้างหลังเขา 2-3 เมตร ตอนนั้นโพเลนกีสวมหมวกกันน็อคสีฟ้าเขียนคำว่า "สื่อสิ่งพิมพ์" ทั้งหน้าหลังและติดปลอกแขนสีเขียวเพื่อบอกว่าเขาเป็นนักข่าวที่ปฏิบัติ งานอยู่

"ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเราถูกยิงพร้อมกันเป๊ะเลย บางทีอาจจะโดยกระสุนนัดเดียวกันด้วยซ้ำไป" คอกซ์กล่าว และเสริมว่า เขาไม่ได้ยินเสียงปืนหนึ่งหรือหลายนัดที่ยิงถูกเขาหรือโพเลนกี "ผมไม่รู้ว่าใครยิงผมหรือฟาบิโอ แต่ถ้าทหารกำลังพยายามยิงพวกเสื้อแดงละก็ มันไม่มีใครอยู่รอบตัวพวกเราเลยนี่ครับ ... ทหารกำลังยิงใส่สิ่งของหรือผู้คนแบบไม่เลือก"

ภาพวิดีโอที่คอกซ์ถ่าย เหตุการณ์บรรดานักข่าวและผู้ประท้วงช่วยกันหามร่างโพเลนกีออกจากถนนขึ้นรถ มอเตอร์ไซค์ไปยังโรงพยาบาลแถวนั้นดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่ากระสุนเจาะเข้า ตัวโพเลนกีทางใต้รักแร้ซ้ายและทะลุออกสีข้าง รายงานข่าวต่างๆ ระบุว่าเขาเสียชีวิตแล้วเมื่อไปถึงโรงพยาบาลในท้องที่ เจ้าหน้าที่ไม่ได้รายงานว่าพบหัวกระสุนใดๆ

ครอบครัวของโพเลนกีได้ แสดงความห่วงกังวลที่รัฐบาลสนองตอบต่อการตายของเขาอย่างอึมครึม อิซาเบลลา โพเลนกี น้องสาวของเขาบอก CPJ ว่า ครอบครัวเธอได้ร้องขอรายงานชันสูตรพลิกศพทางการครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ยังไม่ ได้รับ เธอกล่าวว่าตำรวจกับกระทรวงยุติธรรมบอกเล่าขัดกันว่าตำแหน่งบาดแผลของพี่ชาย เธออยู่ตรงไหนแน่ ซึ่งเธอเองก็ไม่ทันได้เห็นร่างเขาก่อนฌาปณกิจ เธอยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าทรัพย์สินส่วนตัวของโพเลนกีหลายรายการรวมทั้ง กล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์หายไป ความขัดแย้งและคลุมเครือทำนองนี้ทำให้เธอยิ่งหวั่นวิตกว่าโพเลนกีอาจถูกหมาย หัวในฐานที่เป็นนักข่าวก็เป็นได้

เธอกับเพื่อนร่วมงานของโพเลน กีกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันปะติดปะต่อวิดีโอคลิปต่างๆ ที่บ้างก็ได้จากนักข่าวผู้อยู่บริเวณข้างเคียงกับโพเลนกีและบ้างก็ดาวน์โหลด จากแหล่งไม่ทราบชื่อบนอินเตอร์เน็ตเพื่อพัฒนาขึ้นเป็นลำดับเหตุการณ์การ เคลื่อนไหวก่อนและหลังการยิง เท่าที่ทราบไม่มีฟิล์มภาพตัวเหตุการณ์การยิงนั้นเอง วิดีโอคลิปอันหนึ่งแสดงภาพชายสวมหมวกกันน็อคสีเงินที่ไม่รู้ว่าเป็นใครเข้า ถึงตัวโพเลนกีหลังถูกยิงเป็นคนแรก ฟิล์มภาพสั้นๆ นั้นแสดงภาพเขาคลำไปรอบอกโพเลนกีและกระแทกเข้ากับกล้องถ่ายรูปของโพเลน กีอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ขณะที่ชายสวมหมวกกันน็อคสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าเป็นใครอีกคนคุกเข่าลงและถ่าย รูปโพเลนกีไว้

ฟิล์มภาพของคอกซ์ดูจะแสดงภาพชายคู่เดียวกันอยู่ในหมู่ คนที่เคลื่อนย้ายร่างของโพเลนกีออกจากถนนไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่พาเขาไปโรง พยาบาล ภาพของชายสวมหมวกกันน็อคสีเงินถูกตีพิมพ์ทั้งในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและมติชน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าเขากับชายสวมหมวกกันน็อคอีกคนหนึ่งนั้นเป็นใคร กันแน่ อิซาเบลลา โพเลนกี กล่าว

นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล ไม่ตอบคำถามจาก CPJ เกี่ยวกับการยิงโพเลนกี รวมทั้งคำกล่าวอ้างที่ว่าตอนนั้นทหารยิงไม่เลือกหน้า หรือรายละเอียดของกรณีการยิงรายอื่นๆ นายเสก วรรณเมธี อัครราชทูตของสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ตอบข้อห่วงใยของ CPJ กว้างๆ ในจดหมายลงวันที่ 14 มิถุนายนว่า "รัฐบาลเสียใจที่เกิดการสูญเสียชีวิตและยึดมั่นที่จะสืบสวนกรณีการตายทั้ง หลายอย่างเต็มที่และเที่ยงธรรม....."

ล่าสุด Shawn Crispin ยังได้รายงานความคืบหน้ากรณีนี้ไว้ในเว็บล็อกของ CPJ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ศกนี้ ภายใต้หัวข้อ "In Polenghi case, autopsy shared but more needed" (ในคดีโพเลนกี เผยผลชันสูตรพลิกศพแล้ว แต่ต้องทำมากกว่านี้) http://cpj.org/blog/2010/08/in-polenghi-case-autopsy-shared-but-more-needed.php ว่า: -

.....อย่างไรก็ ตาม กว่าสองเดือนต่อมา (หลังการตายของฟาบิโอ) มันก็ไม่ปรากฏชัดว่าทางการไทยกำลังพยายามทำดีที่สุดเพื่อไขคดีนี้ให้กระจ่าง และนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
อิซาเบล ลา โพเลนกี น้องสาวของเขา ได้แสดงความห่วงใยดังกล่าวนั้น ณ ที่แถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (ที่ 30 กรกฎาคม ศกนี้) ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยในกรุงเทพฯ ทาง CPJ เราได้ร่วมขึ้นเวทีเพื่อนำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "ในเหตุไม่สงบในประเทศไทย นักข่าวถูกยิงใส่" ซึ่งสืบสวนกรณีการตายและบาดเจ็บต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้กับนักข่าวในประเทศไทย รวมทั้งการยิงโพเลนกีจนเสียชีวิตด้วย

ในบรรดาข้อเสนอแนะต่างๆ ของเรา CPJ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยร่วมมือกับผู้สืบสวนอิสระและเปิดเผยผลการชันสูตรพลิก ศพทางการรวมทั้งหลักฐานเชิงนิติเวชอื่นๆ ปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ตอบสนองผลการสืบสวนของเราอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แม้ว่าดูเหมือนทางราชการจะรับฟังข้อเสนอแนะของ CPJ ประการหนึ่ง

ใน วันพฤหัสบดี (ที่ 29 กรกฎาคม ศกนี้) อันเป็นวันเผยแพร่รายงานของ CPJ ข้างต้น ตำรวจกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้พบกับอิซาเบลลา โพเลนกี เป็นการส่วนตัวและนำผลการชันสูตรพลิกศพคดีพี่ชายของเธออย่างเป็นทางการให้ เธอดูเป็นครั้งแรก ตำแหน่งบาดแผลที่แน่ชัดของโพเลนกีจะเป็นร่องรอยให้สืบเสาะได้ว่าเขาถูกยิง โดยทหารจากระดับพื้นถนนหรือโดยผู้ประท้วงที่อยู่บนตึกข้างเคียง

ใน ที่แถลงข่าว อิซาเบลลา โพเลนกี ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลการชันสูตรพลิกศพและเน้นว่าเป้าหมายของการพบปะกับทาง เจ้าหน้าที่ซึ่งสถานทูตอิตาลีช่วยจัดให้นั้นก็เพื่อ "ร่วมด้วยช่วยกัน" และหาทางประกันให้มั่นใจว่าการสืบสวนของของทางการ "กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษถือ การค้นหากล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์ของโพเลนกีที่หายไปคืนมาเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนอื่นทั้งด้วยเหตุผลทางนิติเวชศาสตร์และทางอารมณ์ความรู้สึก

อิซาเบล ลา โพเลนกี กล่าวว่า เธอเข้าใจว่าการสืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ "อาจนานหลายปี" แต่ก็บอกว่าถ้าหากไม่มี "ความรุดหน้า" ใดๆ ในสองเดือนข้างหน้าแล้วเธอก็คงจะกลับมาเมืองไทยอีกเพื่อกดดันในเรื่องที่เธอ ห่วงใย

พรรคพวกเพื่อนฝูงของฟาบิโอซึ่งหลายคนเป็นนักข่าวชาวต่างชาติ ผู้มาหลงรักเมืองไทย อาศัยอยู่เป็นเหย้าและตั้งใจจะเอาเป็นเรือนตายเหมือนกัน ได้เล่าให้ฟังว่าพวกเขาพิศวงงงงันมากว่าเพราะเหตุใดก็ไม่รู้หน่วยราชการ ต่างๆ ไม่ว่าอำอวด, อีเอสไอ, หรืออ๋ออออ๋อ ต่างพากันยัวะเป็นฟืนเป็นไฟที่พวกเขาพยายามร่วมด้วยช่วยกันหาความกระจ่าง เกี่ยวกับสภาพการณ์การตายของฟาบิโอ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าใครเป็นคนเอาการ์ดบันทึกข้อมูล (memory card) และกล้องถ่ายรูปของฟาบิโอไป รวมทั้งช่วยกันจัดแถลงข่าวให้อิซาเบลลา น้องสาวของฟาบิโอ

แล้วจู่ๆ เพื่อนชาวอเมริกันที่นำภาพวิดีโอที่เขาถ่ายไว้ตอนฟาบิโอตายมาเปิดเผยก็ถูก ดำเนินการขับไล่ออกจากประเทศและข้างภรรยาที่เป็นคนไทยของเพื่อนคนนั้นก็ถูก คุมตัวด้วยอำนาจพิเศษ, โทรศัพท์บางเบอร์ที่เพื่อนๆ ของฟาบิโอใช้ติดต่อประสานงานกันก็ชักมีอาการรบกวนแปลกๆ, เวลาพวกเขาไปไหนมาไหนก็มีคนหน้าตาบ้องแบ๊วคอยติดตามยังกับนิยายสืบสวนสอบ สวน.....

นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,
รัฐมนตรีองอาจ คล้ามไพบูลย์,
อธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์,
โฆษกปณิธาน วัฒนายากร,
ผู้การสรรเสริญ แก้วกำเนิด

ไม่ แปลกหรือครับ ที่หน่วยงานราชการซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบสืบสวนสอบสวนหาความจริงทุกกรณีการ ตายที่เกิดขึ้นช่วงเหตุการณ์ เมษา-พฤษภาอำมหิต ที่ผ่านมา ทั้งการตายของฟาบิโอและคนไทยกับชาวต่างชาติอื่นๆ อีก 90 คน

ดูเหมือนจะพยายามนานัปการที่จะไม่ให้คนอื่นเขาทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะ?

พวกคุณกลัวอะไรหรือครับ?
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop