ผู้สนับสนุน

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คลิปแก้ข้อกล่าวหาว่าศพเสื้อแดง 2 ศพ ไม่ใช่เป็นการยิงกันเอง

คลิปแก้ข้อกล่าวหาว่าศพเสื้อแดง 2 ศพ ไม่ใช่เป็นการยิงกันเองตอนกลางคืน เลือดแห้งแล้ว แต่เป็นการยิงคนมือเปล่าของทหารในเช้าวันที่19


ใครรับผิดชอบ ชีวิตของบุคคลทั้งสองนี้
ใครจะรับผิดชอบ หากสอบสวนหาตัวคนกระทำผิดไม่ได้


ผู้ เชี่ยวชาญอาชญากรสงครามตกลงร่วมทีม เอาผิดอภิสิทธิ์สังหารประชาชน

ราย งานจากเว็บไซต์โร เบิร์ต อัมสเตอร์ดัม สำนักงานทนายความระดับโลก ซึ่งพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ร้องขอให้มาช่วยงานประชาธิปไตยในไทย ได้เปิดเผยเมื่อวันนี้ว่า (31 พ.ค.) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายอาชญากรสงครามระหว่างประเทศ ได้ตอบตกลงเข้ามาร่วมทีมสืบสวนเหตุการณ์การเข่นฆ่าประชาชนที่มาประท้วงเรียก ร้องประชาธิปไตยในไทย
ผู้เชี่ยวชาญระดับชาติเกี่ยวกับการดคีความ อาชญากรสงคราม ศาสตราจารย์ จีเจ อเล็กซานเดอร์ นู๊ป ได้ตกลงเข้าร่วมทีมกฏหมายของสำนักงานทนายความโรเบิร์ด อัมสเตอร์ดัม แล้ว เพื่อที่จะดำเนินการสืบสวนเหตุการณ์ที่รัฐบาลไทยได้ทำการสังหารผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตยกว่า 80 ศพ ระหว่างเดือนเมษา และเดือน พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ศาสตร์ จารย์ Knoops จากบริษัท Knoops & Partners คือเจ้าหน้าที่ระดับโลกในกรณีคดีอาชญากรสงคราม คดีอาญาที่รัฐกระทำต่อประชาชน และคดีการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธู์ เขาได้ทำงานในคดีต่างๆก่อนหน้านี้ ได้แก่คดีอาชญากรรมสงครามในยูโกสลาเวีย กรณีอาชญากรรมในประเทศรวันด้า รวมไปถึงศาลพิเศษใน Sierra-Leone ซึ่งก่อตั้งโดยสหประชาชาติเพื่อพิจารณาคดีความในกรณีความผิดอันร้ายแรงต่อ มนุษยชาติอันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 1996

รายงานระบุว่า ทั้งอัมสเตอร์ดัมและนู๊ปได้ทำงานร่วมกันมานานแล้ว นายอัมสเตอร์ดัมยังได้ระบุว่า รัฐบาลทหารของไทยยังไม่หยุดยั้งการกดขี่ปราบปรามต่อประชาชนของตน มีประชาชนอย่างน้อย 140 คนถูกจับกุม ส่วนมากถูกควบคุมตัวมากกว่าหนึ่งสัปดาห์โดยปราศจากการตั้งข้อหาใดๆ และถูกปฏิเสธไม่ให้มีทนาย ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานมนุษยชนและกฏหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลทหารนายอภิสิทธิ์ยังได้ละเมิดกฏบัตรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติและข้อ ตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนานาชาติและสิทธิ์ของประชาชนของประเทศตน

ภาย ในแถลงการณ์ดังกล่าวได้ระบุว่าผู้จับกุมทั้งหมดซึ่งประกอบไปด้วยแกนนำคน เสื้อแดง คณาจารย์ (หมายถึงอ.สุธาชัย) การ์ด และคนเสื้อแดงอื่นๆ ซึ่งถูกจับกุมและคุมตัวไว้ในที่ต่างๆ

"การที่กองทัพไทยใช้อาวุธ เป็นการละเมิดหลักพื้นฐานของสหประชาชาติในการใช้อาวุธโดยเจ้าหน้าที่พิทักษ์ กฏหมายปี 1990 มติดังกล่าวได้ผ่านการลงมติในการประชุมครั้งที่แปดของสหประชาชาติในกรณีการ ป้องกันการก่ออาชญากรรมและหลักการปฏิบัติของฝ่ายโจมตี ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1990" นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมกล่าว

เก็บตก ภาพเด็ด: ที่นี่ไม่ขายของทุกชนิดให้ทหาร



ภาพ โดย กุลวิกร พร้อมกับเล่าเรื่องต่อว่า "ทีเทเวศน์(โมเดล) ทหาร แต่งเครื่องแบบ ขับรถไปซื้อกับข้าวตอนเที่ยง กลับมากระจกแตกหมดทั้่งคัน ....ถาม มอไซด์รับจ้างแถวนั้น มันบอกไม่เห็นคนทำ"

เก็บตกภาพที่พวกมันทำกับเรา

ดูชุด ดูรถหุ้มเกราะ เมิงจะไปรบกะไคร???

ค่าของไพร่ อย่างเรา

ยิงขึ้นฟ้าอีกแล้ว ไม่มียิงตรงๆ เลย ตาม ศอฉ. บอก














sniper
















วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์ จวกมาร์คลวงโลกปรองดองแต่ปาก จบศึกซักฟอกไสหัวออกไปเลยไม่ต้องปรับครม.ต่อเวลา


นายกฯ ได้อาศัยการชี้แจงต่อทูตและผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่เป็นการแก้ตัวอย่างน้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น ตอบไม่ตรงประเด็น แต่กลับนำมาฟอกตัวเองโดยพูดแทนทูตทั้งหลายว่า ฟังแล้วเข้าใจดี ทั้งๆที่สังเกตจากคำถามก็แสดงให้เห็นว่ายังมีคำถามใหญ่ๆที่ทูตหลายประเทศยัง ห่วงใยไม่สบายใจ เช่น ที่ถามว่าจะขอโทษหรือไม่ ลาออกหรือไม่ จะเลือกตั้งตามกำหนดที่เคยพูดไว้หรือไม่

วันนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยกล่าวแสดงความเห็นต่อแนวทางการแก้ไข วิกฤตประเทศของรัฐบาลว่า ดูเหมือนนายกรัฐมนตรีจะใช้คารมโวหารแก้ปัญหาเอาตัวรอดไปวันๆ และมีบทบาทอย่างสำคัญที่ทำให้แผนปรองดองของรัฐบาลกลับเป็นเรื่องลม ๆ แลง ๆ ที่ไม่มีวันจะปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ แต่กลับจะทำให้บ้านเมืองยิ่งแตกแยกและวิกฤตยิ่งซึมลึกไปเรื่อย ๆ

นายกฯได้อาศัยการชี้แจงต่อทูตและผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่เป็นการแก้ตัวอย่างน้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น ตอบไม่ตรงประเด็น แต่กลับนำมาฟอกตัวเองโดยพูดแทนทูตทั้งหลายว่า ฟังแล้วเข้าใจดี ทั้งๆที่สังเกตจากคำถามก็แสดงให้เห็นว่ายังมีคำถามใหญ่ๆที่ทูตหลายประเทศยัง ห่วงใยไม่สบายใจ เช่น ที่ถามว่าจะขอโทษหรือไม่ ลาออกหรือไม่ จะเลือกตั้งตามกำหนดที่เคยพูดไว้หรือไม่ รวมทั้งการที่ทูตประเทศ ต่างๆย้ำว่า เห็นด้วยกับการปรองดอง แต่นายกฯกลับไม่สามารถชี้แจงให้เห็นได้เลยว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่าง ไร

นอกจากนายกรัฐมนตรีจะทึกทักเอาเองว่าทูตประเทศต่างๆเข้าใจดี นายกรัฐมนตรียังปิดหูปิดตาและปิดปากบรรดาทูตทั้งหลาย ด้วยการขอบคุณที่ทูตไม่แทรกแซงกิจการภายในของไทย ปิดกั้นแทรกแซงสื่อให้เสนอข่าวด้านเดียว ตำหนิทูตที่รับฟังข้อมูลความเห็นจากฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

ในการชี้แจงครั้งนี้นายกฯได้ฉวยโอกาสแก้ต่างแทนทหารว่าไม่ได้ยิงประชาชน แก้ตัวเกี่ยวกับการสั่งการให้ใช้ความรุนแรง

การชี้แจงในลักษณะนี้ มีแต่จะทำให้คนไม่ยอมรับหรือกระทั่งโกรธแค้น และยังสร้างปัญหาตามมาว่า เมื่อนายกฯยืนยันว่าฝ่ายรัฐบาลไม่ผิดเลย แล้วยังจะตรวจสอบข้อเท็จจริงไปเพื่ออะไร

สำหรับการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเป็นในอดีตคงมีคนเรียกร้องให้มีการรัฐประหารไปแล้วนั้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาของประเทศร้ายแรงจริงๆ แต่ที่ไม่เกิดการรัฐประหาร เพราะนายกฯและรัฐบาลสามารถร่วมมือกับทหารปราบปรามประชาชนแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย กัน ต่างตอบแทนของประโยชน์ซึ่งกันและกัน จนทำให้การปกครองบ้านเมืองอยู่ในลักษณะเผด็จการที่ร้ายแรงและซับซ้อนกว่ายุค สมัยใดๆ

สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรไปจากการรัฐประหารนั่นเอง มีการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และยังมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปิดกั้น ครอบงำแทรกแซงสื่อ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในชาติ เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลและพรรคการเมืองเพียงบางพรรคเท่านั้น

หากจะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น คณะกรรมการฯชุดนี้ควรตรวจสอบ ศึกษาวิเคราะห์ถึงต้นเหตุวิกฤตของประเทศที่นำมาสู่การชุมนุมและเกิดความสูญ เสียในที่สุด ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครทำผิดกฎหมายในเรื่องใด ฝ่ายนปช. - คนเสื้อแดงผิดกฎหมายอะไร รวมทั้งผิดฐานก่อการร้ายและล้มสถาบันจริงหรือไม่ ส่วนฝ่ายรัฐบาลกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อกฎหมาย ขัดข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และควรวิเคราะห์ทางออกจากวิกฤต และการป้องกันไม่ให้วิกฤตบานปลายและยืดเยื้อไม่สิ้นสุดด้วย

การตั้งคณะกรรมการฯนี้จะต้องเป็นที่ยอมรับของหลายๆฝ่ายและสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะทุกวันนี้หาคนกลางที่เป็นที่ยอมรับของหลายๆฝ่ายได้ยากมาก นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาว่าใครจะเป็นคนตั้ง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นคู่กรณีโดยตรงและยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาเสียเองด้วย การให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการฯจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะได้คนที่เป็น ที่ยอมรับ ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังเป็นนายกฯและยังกำกับสั่งการทั้งตำรวจ , DSI และอีกหลายหน่วยงานที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหาหรือเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยใน ความเป็นกลาง ตราบนั้นจะหวังให้เกิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับไม่ได้เลย

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนั้น นับเป็นโอกาสเดียวในรอบ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ที่ประชาชนจะมีโอกาสรับฟังข้อมูล ความคิดเห็นที่แตกต่างจากที่รัฐบาลเสนอมาแต่ฝ่ายเดียวโดยตลอด แต่การอภิปรายในครั้งนี้จะคาดหวังผลมากนักก็คงไม่ได้เพราะรัฐบาลได้ครอบงำ ความคิดของสังคมไปมากจากการแทรกแซงสื่ออย่างได้ผล

นอกจากนี้รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ยังแสดงท่าที่จะขัดขวาง ปิดกั้นการเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยอ้างเหตุผลความเหมาะสมที่ฝ่ายเสียงข้างมากจะเป็นผู้ตัดสิน โดยเฉพาะรูปภาพและคลิปวีดีโอที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้เห็นมาก่อน ก็อาจไม่ได้รับอนุญาตให้นำเสนอ

ส่วนการอภิปรายจะมีผลอย่างไร ทำให้เกิดการปรับครม.หรือไม่นั้น คิดว่าเป็นการบิดเบือนประเด็นของนายกรัฐมนตรี การปรับครม.เป็นเพียงการจัดสรรผลประโยชน์กันใหม่ในครม. ที่พรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจต่อรองมากขึ้น จากการรับหน้าในการปราบปรามประชาชนโดยตรง แต่การปรับครม.จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการแก้วิกฤตของประเทศเลย เพราะผู้สมควรโดนปรับออก คือ นายกรัฐมนตรีมากกว่ารัฐมนตรีคนอื่นๆ

หากนายกฯยังคงอยู่ในตำแหน่งย่อมไม่มีทางตั้งคณะกรรมการฯที่เป็นอิสระและเป็น ที่ยอมรับได้ และไม่มีทางที่จะทำให้เกิดการปรองดองได้จริง มีแต่จะทำให้สังคมไทยยิ่งแตกแยกมากขึ้น ไม่มีสิ้นสุด

Clip น.ส พสดี นามขำ ผู้หญิงคนสุดท้ายหน้าเวทีเสื้อแดง

พสดี นามขำ ผู้หญิงคนสุดท้ายหน้าเวทีเสื้อแดง
ได้แต่ภาวนาให้เธอปลอดภัย หรือถูกจับกุมคุมขังอยู่ที่ใด
เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง โปรดออกมาชี้แจงด่วนด้วยครับ

ด้วย ความห่วงใยจากกลุ่มแดงหลังตู้เย็น
 

เบื้องหลังฉากเลือด พค.ทมิฬ "53"

เบื้องหลังฉากเลือด พ.ค.ทมิฬ "53 "มาร์ค" 100 ศพ ล้างเผ่าพันธุ์ "แดง" นักฆ่าลอยฟ้ากับฮีโร่ ของ ปชป.
มติชนสุดสัปดาห์

ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่กองทัพจะเข้าสลายการชุมนุมของคน เสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อแผนโรดแม็ปของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกล้มเลิกไม่ใช่เรื่องเกินคาด ที่จะเกิดปฏิบัติการยึดราชประสงค์ หลังจากที่ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แม่ทัพแดงผู้คุมกองกำลังติดอาวุธและผู้วางแผนยุทธวิธีสู้ ตายสนิท หลังจากที่ถูกยิงเมื่อ 13 พฤษภาคม แล้วนอนไอซียูนาน 82 ช.ม. ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่ยุทธการยึดราชประสงค์ จะสำเร็จราบรื่นง่ายดาย เพราะไม่มี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" หรือไอ้โม่งดำเจ้าเก่าเมื่อ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว แหวกวงล้อมทหารออกปฏิบัติการโจมตีทหารในยามค่ำคืน ระหว่างยุทธการปิดล้อมเต็มรูปแบบได้แต่ที่เกินคาด ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หักหลัง ทั้งประธานวุฒิสภาและกลุ่ม ส.ว. ที่อาสาเป็นตัวกลางเจรจากับแกนนำ นปช. ด้วยการสั่งทหารลุยปราบม็อบแดง หลังจากที่แสดงทีท่าและวาจาบางประโยค ที่ทำให้ฝ่าย ส.ว. คิดว่าพร้อมเจรจาด้วย แค่ไม่กี่ชั่วโมงรุ่งสางของวันพุธที่ 19 พฤษภาคม วันที่ใครๆ คิดว่าบ้านเมืองมีทางออก เพื่อลดความสูญเสีย กลับกลายเป็นวันมหาวิปโยคนองเลือด ทั้ง นายประสบสุข บุญเดช และเสธ.อู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช หน้าแตกยับเยิน จาก "พฤษภาทมิฬ 2535" มาสู่ "พฤษภาทมิฬ 2553" ฉากเลือดที่ทำให้ทหารด้วยกันเองตกตะลึง เพราะ กลางดึกคืนวัน 18 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ประกาศกร้าวกลางวงขุนทหารที่แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ว่า "การเจรจาจบไปนานแล้ว" อันหมายถึงการเดินหน้ายุทธการ "ยึดราชประสงค์ 53" ตามแผนเดิมที่ได้หารือกันอย่างลับๆ มาแล้ว 2 วัน แม้ขุนทหารส่วนหนึ่งอยากให้ท่านผู้นำลองอีกสักครั้งไม่เสียหลาย การเจรจาเริ่มต้นขึ้นได้เสมอ ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง กระตุ้นให้ ท่านผู้นำตัดสินใจ ด้วยเพราะกำลังทหารและแผนทั้งหมดพร้อม 100% ที่จะเข้าปฏิบัติการแล้ว เพราะถ้าเลยวันดีเดย์ 19 พฤษภาคม ออกไปอีก ก็จะเสียจังหวะ เพราะกว่าที่จะพร้อมต้องใช้เวลาและวงรอบ หลังการสับเปลี่ยนกำลังทหารให้สดชื่น และชินกับพื้นที่ปฏิบัติการรวมถึงการประสานของหน่วยกำลังต่างๆ ทั้งกำลังหลัก 3 กองพล คือ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ที่บทหนักสุด บุกตะลุยสวนลุมพินี ด่านศาลาแดง ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของ เสธ.แดง กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) บุกด้านเพลินจิต ชิดลม และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) บุกเข้าทางปทุมวัน รวมถึง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ของรบพิเศษ และคอมมานโดของอากาศโยธิน (อย.) กองทัพอากาศ ที่ต้องประสานกับรถไฟลอยฟ้าบีทีเอสให้หยุดเดินรถ เพราะต้อง "ปฏิบัติการลอยฟ้า" ขึ้นไปเดินเท้าบนรางรถไฟฟ้าเพื่อเข้าโจมตีจากหลายจุด เพื่อปลิดชีพคนหัวใจแดง แต่ฉาบหน้าด้วยหน้าที่ระวังป้องกัน กำลังทางพื้นราบที่ทหารม้าใช้รถสายพานลำเลียงพล (เอพีซี.) แบบ T85 บุกด่านหน้า โดยหน่วยรบพิเศษบนรางรถไฟฟ้าทุกจุดมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ เวทีการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์โดยเฉพาะที่แยกศาลาแดง จุดเข้าตีจุดใหญ่จุดแรก ที่พวกเขามีหน้าที่ยิงแล้วก็ยิงใส่กลุ่มฮาร์ดคอร์และผู้ชุมนุมเบื้องล่าง ที่แม้จะถอยห่างจากแนวรั้วแนวรบก็ไม่รอด "ผมจะไม่ให้เวลาพวกมันอีกแล้ว" คือประโยคที่ขุนทหารคาดไม่ถึงว่าจะหลุดออกมาจากปากท่านผู้นำอย่างง่ายดาย อันหมายถึงการตกลงใจส่งทหารทั้ง 112 กองร้อย หรือเกือบ 2 หมื่นคน เข้าสลายการชุมนุม ภายใต้คำสวยหรูไม่ดูรุนแรงว่า กระชับวงล้อมพื้นที่การชุมนุมเรื่องที่เกินคาด จนทหารเองก็แปลกประหลาดใจ ตรงที่ ปฏิบัติการนี้สุดแสนจะง่ายดาย สำเร็จอย่างราบรื่น เพราะแม้จะมีการตอบโต้จากกองกำลังติดอาวุธ ทั้งปืนสั้น ปืนเอ็ม 16 หรือเอ็ม 79 แต่ก็ไม่ระคายผิวทหารแม้แต่น้อย เพราะมีแค่กลุ่มการ์ด นปช. ที่เคยได้แต่เดินกร่าง ยิงปืนได้ แต่ไม่เป็นยุทธวิธีทางทหาร และพวกเสื้อแดงที่บ้าระห่ำใช้หนังสติ๊ก ระเบิดเพลิง สู้กับลูกปืนของทหาร จนต้องร่วงผล็อย นอนตายข้างถนนอย่างไร้ค่าอีกทั้ง กองกำลังติดอาวุธและฮาร์ดคอร์ที่เคยมีอยู่ ก็ได้กระจายกำลังออกไปต่อสู้กับทหารที่ชายแดนรอบนอกหลายจุด ทั้งบ่อนไก่ พระราม 4 สามย่าน ดินแดง ประตูน้ำ ราชปรารภ รางน้ำ จนเจ็บตายกันไปเยอะ ที่เหลือก็กลับเข้ามาพื้นที่วงในหัวใจสำคัญที่ราชประสงค์ไม่ได้ เพราะมีทหารอุดไว้หมดแถมทั้งบทเรียนจาก 10 เมษายนที่ทหารพ่ายแพ้ ทำให้ ศอฉ. ไฟเขียวให้ยิงด้วยกระสุนจริงได้เมื่อเห็นตัว โดยไม่ต้องสนว่า มันจะมีอาวุธอยู่ในมือหรือไม่ ถ้าจะพูดกันตรงๆ สำหรับทหารแล้ว มันมันมือนะที่ได้ยิงกระสุนจริง แถมเป้าวิ่ง คนจริงๆ ชีวิตจริงๆ ได้อารมณ์มากกว่า ยิงเป้ากระดาษ หรือยิงกระสุนซ้อม หรือใช้ปากตะโกน "ปังๆ ๆ" ในตอนฝึกซ้อมรบเยอะเลย ร่วงเห็นๆ เลือดกระจาย แถมยิงได้ไม่อั้นไม่ต้องกลัวเปลืองกระสุน หรือต้องคอยเก็บปลอกส่งคืนนาย มันถือเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของพวกทหารบ้าเลือดเลยทีเดียว แต่ขอแค่ว่าเมื่อถึงเวลาต้องสู้กับทหารเขมรขอให้ได้อย่างนี้นะไม่เชื่อก็ ต้องเชื่อ สำหรับทหารแล้วมีจำนวนไม่น้อยที่ "บอดี้เค้าต์" ไปด้วย ราวกับเป็นเกียรติประวัติในชีวิตตัวเอง โดยลืมนึกไปว่าไอ้เสื้อแดงหรือหัวใจแดงตรงหน้า มันคือคนไทย แต่ทว่า พวกเขาถูก "ตั้งโปรแกรมใส่หัว" ไว้แล้วว่า มันเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างสถาบันอย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรี ประกาศ "ให้เสรีในการปฏิบัติ" แก่ทหารและหน่วยความมั่นคงอย่างเต็มที่ไว้แล้ว แม้แต่หน่วยรบพิเศษลอยฟ้าที่พร้อมบุกเข้าใจกลางการชุมนุม อันมีเป้าหมายที่แกนนำ นปช. ตัวเป้งๆกำลังทหารหลักทั้ง 3 กองพลถูกสั่งให้ เมื่อยึดแยกสารสินได้ ยังไม่บุกเข้าสี่แยกราชประสงค์ เพราะกลัวสูญเสียมาก แต่ใช้กำลังทหารกดดันเพื่อให้แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมเอง ที่ไม่ใช่แค่เพราะกลัวผู้ชุมนุมจะล้มตายกันอีกเป็นเบือ แต่ยังกลัวว่าพวกเขาเองจะเป็นเป้าของสไนเปอร์นักฆ่าลอยฟ้า ที่เคยปลิดชีพ เสธ.แดง มาแล้วด้วยนั่นเอง เพราะคำสั่งตกลงมาแล้ว แล้วที่เกินคาดก็คือ งานนี้สำหรับทหาร สำหรับ ศอฉ. แล้ว ถือว่า "ตายน้อย" กว่าที่คาด หรือประมาณการ หรือภาษาทหารเรียกว่า "จำหน่าย" ไว้ เพราะแค่ 54 คน จากที่คาดกันไว้ว่าน่าจะเป็นหลักร้อย 200-300 คน บาดเจ็บเป็นพัน รวมทั้งหมดตั้งแต่ 10 เมษายนอีก 31 ราย ปะทะประปรายมาเรื่อยๆ อีกแค่เกือบร้อยศพเท่านั้นจึงไม่แปลกที่หลังเสร็จสิ้นยุทธการ ทั้ง นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ ผอ.ศอฉ. และรัฐมนตรีต่างๆ จะมีเสียงชื่นชมและขอบคุณจากผู้นำ ต่อบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ที่แม้จะกลายเป็นขุนพลมือเปื้อนเลือดไปแล้ว แต่ในฐานะผู้วางแผนยุทธการ และสั่งการทั้งหมด จนทำให้ทั้งสองเกลอเพื่อนรัก กลายเป็น "ฮีโร่" กลางใจรัฐบาล กลางใจขุนพลประชาธิปัตย์ และเป็นฮีโร่ของ ศอฉ. แต่คงเป็นตรงกันข้ามในสายตาคนเสื้อแดงด้วยเพราะ สองนายพลนี่แหละที่จะขึ้นสู่อำนาจ เคียงข้างและหนุนหลังรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในอีกไม่ช้านี้ คนหนึ่งคือ ผบ.ทบ. ที่เปี่ยมอำนาจและบารมี แถมมีอายุราชการถึงปี 2557 ส่วนอีกคนจะขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก เป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ ในฐานะเพื่อนรักพร้อมด้วยแผงอำนาจเพื่อนเตรียมทหาร 12 ที่มีผลงานอันน่าภาคภูมิใจหนนี้ ขึ้นมาคุมกองทัพบก จนแทบจะจัดเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. ไม่ลงตัว ทั้ง พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. ที่ส่ง ฉก.90 พร้อมพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์นับร้อยมาเป็นพระเอกในยุทธการนี้ แถมมีผลงาน "โบว์แดง" ที่เป็นที่ "รู้กัน" อีกด้วย แม้แต่ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่กลายเป็นตราบาปของบิ๊กโชย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือของ ร.31 รอ. ลูกน้องแต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้บุกมาถึงวัด ได้รับคำสั่งให้หยุดอยู่ที่สยามพารากอนบิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายกิจการพลเรือน (ฝกร.) เตรียมขึ้นเป็น รอง เสธ.ทบ. ด้วยผลงานด้านปฏิบัติการจิตวิทยา และ propaganda และสงครามข่าวสารข่าวลือ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ใจไม่เหลือง ดูข่าวไปอาเจียนไปบิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 ที่คุมกำลังทหารม้า พล.ม.2 รอ.ของน้องรัก บิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญสิริ เป็นกำลังหลัก ลุ้นขึ้นเป็นพลโท แม่ทัพภาค 1 แทนบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่งานนี้หนาวๆ ร้อนๆ เพราะผลงานไม่เข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเหตุที่เป็นทหารสายพิราบ จนถูกตวาดว่า "ถ้ามึงไม่ยิงมัน แล้วจะให้มันยิงมึงก่อนหรือไง"แม้จะเป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพราะเขากับ พล.ท.ดาว์พงษ์ มีปัญหาทางใจกันอยู่ จึงอาจทำให้ พล.ท.คณิต พบเจอกับ "สิ่งไม่คาดฝัน" เพราะในยุทธการนี้เขาก็ถูกข้ามหัว สั่งการไปยังผู้บัญชาการกองพล โดยไม่ผ่านแม่ทัพมองออกไปข้างหน้าอีกนิด หลังการโยกย้ายทหารในเดือนกันยายนเสร็จ วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป กองทัพบก มี ผบ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ เสธ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ดาว์พงษ์ ที่ล้วนเป็นทหารขาลุย เด็ดขาด คนหนึ่งเป็นนักรบเหรียญรามาฯ ที่แม้จะมีตำนานเล่าอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นนักรบผู้หาญกล้า ความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสียเต็มตัว ส่วนอีกคนเคยเป็นมือขวาบิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงษ์ หนุนภักดี ในยุคพฤษภาทมิฬ เมื่อ 18 ปีที่แล้วมาก่อน มีดีกรีเป็น ผบ.ร.11 รอ. และ ผบ.พล.1 รอ.ยิ่งในสภาวะที่ นายอภิสิทธิ์ ตามล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดง ประหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทั่วประเทศ หมายถอนรากถอนโคนด้วยแล้ว รับรองว่า ทบ. ในยุค "ผบ.ตู่" กับ "เสธ.หนุ่ย" ไม่มีอิดออดหรือประคองตัวแบบบิ๊กป๊อกแน่ แต่ชาติบ้านเมืองจะเป็นยังไงก็คิดกันเอาเองได้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เพื่อนรักต่างสายพันธุ์คู่นี้ ที่คนหนึ่งเป็นบูรพาพยัคฆ์ อีกคนเป็นวงศ์เทวัญ ทำไม่ได้ หรือไม่กล้าทำ หากเพื่อสกัดกั้นคนเสื้อแดงและการกลับคืนสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา "ผู้ก่อการร้ายตัวพ่อ"ใบหน้าที่สดใสของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้ง พล.ท.ดาว์พงษ์ หลังชนะสงคราม ปรากฏให้เห็นชัดเจน ต่างจาก พล.อ.อนุพงษ์ ที่เดินก้มหน้างุดๆ เช็ดเลือดที่ไหลจากมือซิบๆ และแววตาทุกข์ใจของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม สงครามยังไม่จบ นับศพทหารได้ไม่กี่ศพ แต่ศพประชาชนนับได้ถึง 85 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พันคน ตั้งแต่ 10 เมษายนเรื่อยมา จนทุกวันนี้ และส่อเค้าว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะต้องมีการประกาศเคอร์ฟิวต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ และคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก และเสี่ยงต่อการปะทะและสูญเสียอีกนั้น ก็อาจทำให้ นายอภิสิทธิ์ กลายเป็นนายกฯ ร้อยศพ หรือมาร์ค 100 ศพ เข้าจนได้สักวัน แน่นอนว่า วันนี้รัฐบาล ปชป. ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ผู้มีความแข็งแกร่งและแข็งกร้าว เด็ดขาด ยิ่งกว่าบิ๊กทหาร หรือจอมพลบางคนในกองทัพ ได้เป็นผู้ชนะ แถมมีกองทัพหนุนหลัง ยอมทำตามทุกอย่างแม้แต่ต้องยิงคนไทยด้วยกันเอง ก็ยิ่งมั่นคง ใครๆ ก็ยอมสยบ ขอเป็นพรรคเป็นพวก ขอเป็นผู้ชนะด้วย ยิ่งเรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้ลืมไปได้เลย เพราะตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ทั้งแข็งและเป็นต่อ จนบิ๊กๆ ทหารเห็นด้วยกับฉายา "สฤษดิ์น้อย" แถมไม่มีแม้เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบหรือสปิริตจากผู้นำออกมาเลยสักแอะ ยิ่งเมื่อเวลานี้ มี "สฤษดิ์น้อย" ถึง 2 คน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยประชาชนเกลียดนักการเมือง ไม่น่าห่วง เพราะมันน่ารังเกียจอยู่แล้ว ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ แต่อย่าทำให้ประชาชนเกลียดทหาร แม้จะเป็นประชาชนเสื้อแดง ผู้คิดต่าง แถมเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ความแตกแยกยิ่งร้าวลึกที่น่าเป็นห่วงคือ คำสั่ง ศอฉ. ที่ให้ทหารในต่างจังหวัดกวาดล้างแกนนำและคนเสื้อแดง ทั้งเหนือ และโดยเฉพาะอีสาน พื้นที่ เรดโซน ที่บิ๊กกะหล่ำ พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาค 2 เพื่อน ตท.10 ของบิ๊กป๊อก เรียกแกนนำแดงและนักการเมืองในสายพรรคเพื่อไทย มารายงานตัว พร้อมสำทับด้วยประโยคสุดหนาวและน่าขนลุกที่ต้องเซ็นเซอร์เอาไว้แต่ทว่า ความเคียดแค้นเกลียดชังฝังในและรอวันปะทุไม่มีความเมตตาปรานีในสนามรบ ทั้งนักการเมืองและทหารที่อยู่ในอำนาจ ต่างมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่าน เพราะยังมีคำสั่งให้ตามล่าตัวแกนนำที่หลบหนี โดยเฉพาะ กี้ร์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่มีข่าวหลบไปทางเขมรบ้าง อีสานหรือแม้แต่ภาคเหนือบ้าง และแรมโบ้อีสาน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ท่ามกลางข่าวลือที่ทั้งคู่ถูก "จับตาย" ไปแล้ว แม้แต่ "เก่ง" การุณ โหสกุล ส.ส.เพื่อไทย เขตดอนเมือง นักการเมืองร่างเล็กจอมซ่า ก็อยู่ในลิสต์ และการตามล่าของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 30 คน ด้วยข้อหา "บงการเผาเมือง" จาก ศอฉ.เขมรเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง แต่ตอนนี้ ไทยกำลังล้างบางไทยแดง โดยที่รัฐบาล ปชป. บังคับให้ทหารต้องเป็นศัตรูกับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ปากท่านผู้นำบอกจะเยียวยา ปรองดองจนไม่อาจรู้ว่า ในอนาคตอันใกล้ ทหารจะแต่งเครื่องแบบเดินถนนได้หรือเปล่า ทั้งในกรุงเทพฯ อีสานหรือเหนือ ที่ตั้งหรือหน่วยทหาร จะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี และวินาศกรรม ไม่ต่างจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ ชนะแล้ว แต่ควรต้องตั้งสติใหม่ว่า ตนเองคือนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ผู้กำลังมีชัยชนะ ที่ต้องตามล้างบางศัตรูให้ย่อยยับ จนไม่มีที่ยืน หรือว่าต้องการผลักไสให้พวกเขาเข้าป่า หรือไปจับมือกับโจรใต้ เพื่อกลับมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อกดดันรัฐบาล ชาติบ้านเมืองอยู่ในมือแล้วเห็นทีท่านผู้นำต้องหยุดรังสีอำมหิต หลบซ่อนแววตาแห่งชัยชนะ หยุดคำพูดเชือดเฉือน หยุดการผลักไสพวกเขาให้เป็นศัตรูถาวรด้วยคำว่า ผู้ก่อการร้าย หยุดสั่งให้ทหารตามฆ่าประชาชนต่อ หยุด ศอฉ. ยึดสื่อรัฐประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียว ปกปิดไม่พูดความจริง จนคนไทยแทบจะอาเจียนกับข่าวที่มอมเมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปราม ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องหยุด และยอมแพ้ได้แล้ว แกนนำเสื้อแดงและไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องหยุดเช่นกัน หยุดเผาเมือง หยุดลงใต้ดิน เพราะการตายจะมากขึ้น เพราะทหารจะลงไปเล่นใต้ดินด้วยเช่นกัน ฝ่ายกองทัพก็ต้องหยุดบูรพายัคฆ์ครองอำนาจ แบ่งปันอำนาจให้ทหารวงศ์เทวัญ และทหารไร้สี เยียวยาทหารแตงโม ตามความสามารถและความชอบธรรม เพื่อถอดสลักระเบิดเวลาที่จะทำให้กองทัพแตกต่อให้เกลียดคนเสื้อแดงเข้าไส้ เพราะพวกเขารักทักษิณ ศัตรูตัวฉกาจ แต่รู้หรือไม่ว่าศาสตร์เหนือศาสตร์ กลยุทธ์เหนือชั้นคือ ทำศัตรูให้เป็นมิตร อาจจะแสร้งรักและทำดีกับพวกเขาเพื่อซื้อใจ การเสแสร้ง เป็นเรื่องถนัดของนักการเมืองอยู่แล้ว อะไรๆ ก็อาจดีขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องถือเป็นทุกข์ของผู้นำประเทศด้วย ที่ต้องรีบเยียวยาแก้ไขให้ประชาชน หากยังยืนอยู่บนเส้นชัย ก็จะไม่มีวันมองเห็นและแก้ปัญหาได้ ไหนบอกว่าประชาชนต้องมาก่อน แต่นี่ "ประชาชนต้องตายก่อน"

Clip ทหารยิงประชาชนมือเปล่าอีก clip จาก fox news

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตำรวจ สากลบอกไม่จับ "ทักษิณ" ด้วยข้อหาทางการเมือง

รายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีวันนี้ว่า ตำรวจข้ามแดนไม่เห็นได้รับคำร้องขอใดๆให้จับพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพวกเขาจะไม่จับคุณทักษิณด้วยข้อหาทางการเมือง

รายงาน ข่าวดังกล่าวอ้างอิงถึงรัฐบาลไทยที่ได้ร้องขอให้ตำรวจอินเตอร์โพลช่วยร่วม มือในการออกหมายจับต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยข้อหาก่อการร้าย เนื่องจากถูกตั้งข้อหาว่าให้เงินผู้ประท้วงและนำไปสู่เหตุการณ์การปะทะใน กรุงเทพฯในช่วงที่ผ่านมา

สำนักงานใหญ่ตำรวจอินเตอร์โพลในเมืองลีออง ประเทศฝรั่งเศส ได้เผยคำพูดของผู้กำกับฯนายโรแนล โนเบล ว่าเขา "ไม่เห็นรู้เรื่อง" การร้องขอจากกรุงเทพฯเพื่อช่วยเหลือเคสดังกล่าวนี้

นอก จากนี้ยังเผยด้วยว่า ถ้ามีคำร้องขอดังกล่าวจริง คำร้องขอนั้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนปรกติ และยังต้องผ่านความเห็นที่ปรึกษาทางกฏหมายขององค์กรก่อนด้วย

โฆษกของ อินเตอร์โพลกล่าวกับผู้สื่อข่าวเอเอฟพีว่า ตามกฏขององค์กร ได้ห้ามไม่ให้ประเทศสมาชิกจับกุมใครก็ตามด้วยเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจากแรงจูง ใจทางการเมือง

รายงานข่าวดังกล่าวได้อ้างถึงคำพูดของนายสุเทพก่อน หน้านี้ที่บอกว่าได้ขอความร่วมมือไปยังตำรวจอินเตอร์โพล และได้อ้างคำพูดของนายทักษิณที่ได้ย้ำว่าตำรวจสากลจะเห็นข้อกล่าวหาของ รัฐบาลไทยดังกล่าวว่าเกิดขึ้นจากแรงจูงใจทางการเมือง

นายก อำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ

โดย เทิดไท ประชาธรรม
23 พฤษภาคม 2553

นับจากเหตุการณ์ "ขอพื้นที่คืน" ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เรื่อยมาถึงเหตุการณ์ "กระชับพื้นที่" ที่ราชประสงค์ ระหว่างวันที่ 13 – 19 พฤษภาคม 2553 ด้วยคำพูดที่สวยหรูจาก ศอฉ.และรัฐบาล แต่ความหมายมันก็คือ "การเข้าสลาย และปราบปราม" นั้นเอง

เป็น เหตุให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา แม้แต่สตรีมีครรภ์ ตลอดถึงนายพลของกองทัพ คนเก็บขยะ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคนเจ็บ และเจ้าหน้าที่พยาบาลอาสา ได้สังเวยความ "อำมหิต" ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กว่าหนึ่งร้อยศพ (ตัวเลขทางการคือ 88 ศพ) และมีผู้บาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน

นี่ ยังไม่นับรวมกับศพที่สูญหายจำนวนมาก โดยมีข่าวลือว่า ถูกนำไปฝังรวมกันที่ค่ายทหารราบแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และยังไม่นับรวมถึงกับศพที่มีข่าวลือจากข้อสงสัยของผู้คนว่า "มีอีกหลายร้อยชีวิตที่เป็นสตรี และคนชรา" ณ เวทีราชประสงค์ ที่ไม่ยอมสลาย และคอยจนนาทีสุดท้ายให้ทหารเข้ามาถึง จนถูกทหารกราดยิง เพราะไม่มีสื่อมวลชนเข้าไปด้วยแม้แต่คนเดียว และถูกนำศพไปเผารวมกัน ณ เซ็นทรัลเวิลด์ "เมรุเผาศพที่ใหญ่ที่สุดในโลก" แล้วปล่อยให้ไฟเผานานกว่า 12 ชม. โดยเจ้าหน้าที่ไม่สนใจที่จะดับเพลิง แต่อย่างใด !!!???

"หนึ่ง ร้อยศพ" ไม่น่าจะน้อยกว่านี้ คือผลงานและวิธีแก้ปัญหา "แบบเลือดทาแผ่นดิน" ของอภิสิทธิ์

"แผนปรองดอง" หรือ โรดแม็ป 5 ข้อ ของอภิสิทธิ์ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ มีหลายคนรวมทั้งผู้เขียน เคยวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นแค่แผนหลอกล่อให้คนเสื้อแดงกลับบ้าน หรือหลอกให้คนที่เวทีราชประสงค์ลดน้อยลง เพื่อจะได้ง่ายต่อการเข้าสลายและล้อมปราบ ไม่ได้มีความจริงใจที่จะปรองดองอะไรเลย"

และแล้วคำวิพากษ์วิจารณ์ เหล่านั้นก็เป็นจริง เห็นชัด ๆ ว่า ในหัวสมองของอภิสิทธิ์นั้น ไม่มีคำว่า "ปรองดอง" แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่มีในหัวสมองของอภิสิทธิ์คือ "ต้องเอาเลือดไพร่ทาบนแผ่นดินให้จงได้" ตามคำบัญชาของมหาอำมาตย์อำมหิต "ตายสิบตายแสน ไม่ต้องใส่ใจ" คนไทยหกสิบกว่าล้านคน ตายแค่นี่ถือว่าน้อยไป และเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูว่า "ต่อไปพวกไพร่อย่าริฮือ"

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ "สัญญาณอำมหิต" เพื่อปลิดชีวิตไพร่กว่าร้อยศพ ได้ถูกส่งสัญญาณแล้วตั้งแต่มีข่าวว่า "ผู้หญิงคนหนึ่ง" โทรหา "อนุพงษ์" ว่า "ให้จัดการปราบไพร่ได้เลยไม่ต้องปรานีปราศรัย"

สัญญาณ ต่อมา คือ เมื่อพวกพันธมิตร โดยมหาจอมปลอม และกลุ่มเสื้อหลากสีของหมอไร้จรรยาบรรณ และเหล่าลูกสมุนอำมาตย์ ออกมาประสานเสียง ให้รัฐบาลจัดการกับคนเสื้อแดงโดยเด็ดขาด ถ้าไม่จัดการแล้วพวกพันธมารจะจัดการเอง

ต่อมาก็มี เอ็ม.79 มี "สไนเปอร์" ออกมาเก็บ "คนเสื้อแดง" ทีละศพ ๆ จนมาถึงคิวของ "เสธ.แดง" พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แหล่ะนี่คือ "ซิกสุดท้าย" ที่เป็นสัญญาณว่า "ร้อยศพ" นั้น น้อยมาก ที่คนกระหายเลือดอย่างอภิสิทธิ์ ทาสรับใช้อำมาตยา จะทำการเข่นฆ่า

แกนนำ นปช.ชะล่าใจ หรือแม้แต่ใคร ๆ ก็คิดไม่ถึงว่า พวกมหาอำมาตยาสามานย์ จะมีใจที่ "อำมหิต" สั่งเข่นฆ่าประชาชนของตนเองได้ถึงเพียงนี้ ร้อยศพ ที่ตัวเลขเป็นทางการ และอีกหลายร้อยศพที่สาบสูญ ไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ไหน จึงได้เกิดขึ้น ณ ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย

แม้จะเป็นร้อยศพ ที่แลกกับคำว่าประชาธิปไตยอันว่างเปล่า แต่ก็เป็นร้อยศพที่ได้เผยธาตุแท้ของ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ได้อย่างหมดใส้หมดพุง

นักวิชาการด้านรัฐ ศาสตร์อย่าง รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ถึงกับกล่าวว่า "ในฐานะของนักรัฐศาสตร์ ผมบอกตรง ๆ ว่า ผมยังงงกับรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรี ว่า ทำไมถึงได้มั่นใจว่าความรุนแรงจะเป็นทางยุติปัญหาทั้งหมดได้..."

ปาน นี้เมื่อรู้ว่า นายกได้สั่งฆ่าประชาชนไปแล้วกว่าร้อยศพ ไม่ทราบว่า รศ.ดร.สุขุม จะหายงงหรือยัง หรือว่าจะยิ่งงง หรือจะแกล้งทำเป็นงงต่อไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มหัวอกว่า "ที่นายอภิสิทธิ์โหดได้แบบสุด ๆ นั้น เพราะใครบัญชาการอยู่เบื้องหลัง"

ความ อำมหิต ของอภิสิทธิ์ผู้นำรัฐบาลนอมิอำมาตยาสามานย์ กับ "ยุทธการฆ่าไม่เลือกหน้า" ถูกนำมาใช้กับทุกคนที่เดินอยู่ในพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้เพราะมีมหาอำมาตย์สามานย์บัญชาการอยู่เบื้องหลัง จน "อนุพงษ์" ต้องสงบเสงียมเจียมตัว และหยุดคำพูดของตัวเองที่ว่า "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" ลงในทันที

"สงคราม" ที่รัฐใช้อาวุธร้าย "เอ็ม. 16 เอ็ม. 79 และสไนเปอร์" ณ "สมรภูมิราชประสงค์" ได้ยุติลง ด้วยชัยชนะของ "อภิสิทธิ์ และอำมาตย์" พร้อมกับการจากไปด้วยความ "พ่ายแพ้และ ความตายของชาวไพร่" ผู้มีอาวุธร้าย คือ "บั้งไฟ หนังสติ๊ก และไม้ไผ่"

สงครามระยะสั้นได้จบลงแล้ว

อภิสิทธิ์ และอำมาตย์ ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ณ สมรภูมิที่ราชประสงค์ เหล่าลูกสมุนต่างสะใจ ไชโย โฮ่ร้อง ทั้งเหลือง เขียว น้ำเงิน ชมพู ฟ้า กับ ความพ่ายแพ้ของนักรบเสื้อแดง ที่เป็น "หญิงแก่ ๆ" และ "ชายชรา" หน้าตาชนบท ๆ อายุแต่ละคนกว่าเจ็ดสิบปี ที่ต้องเดินร้องไห้ออกจากสมรภูมิรบ "ที่อาวุธไม่เท่าเทียม" ด้วยความ "เจ็บแค้น และคราบน้ำตา"

สงคราม ระยะยาวยังไม่จบ !!!

"บั้งไฟ หนังสติ๊ก ไม้ไผ่" สู้กับอาวุธร้าย "สไนเปอร์ รถถัง เอ็ม.16 และ เอ็ม.79" ความตาย น้ำตา ความแค้น "ขอนแก่น อุดร อุบล โมเดล" เชียงใหม่ เชียงราย กระจ่ายไปทั่ว ทั้งกรุงทเพฯ และปริมณฑล

แม้ว่าแดงจะเผา หรือเหลืองจะใส่ร้าย หรือว่าน้ำเงินจะผสมโรงป้ายสี อะไรก็ตามเถอะ นั้นแสดงว่า "สงครามยังไม่จบ"

"ขอนแก่น อุดร อุบล โมเดล" ผู้ก่อเหตุถูกยิงถูกจับ "ตายและบาดเจ็บหลายสิบ" ถูกจับเกือบร้อย ยังพอยุติการความวุ่นวายลงได้ในเร็ววัน แต่ถ้าเป็น "สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โมเดล" คงไม่ต้องอธิบายว่า "วิธีการคืออย่างไร" มาเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน แล้วประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไร ?

"ประเทศ ไทยโชคดีที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายก"

ขออวยพรให้โชคดีไปตลอดเถอะนะมหา อำมาตย์ และขอให้อภิสิทธิ์ของพวกคุณ ได้เป็นนายกของประเทศไทยตลอดไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

นายแน่มาก อภิสิทธิ์!!! @

Clip เก่าเก็บของ Lai ทุกประโยคที่มันพูดย้อนกลับมาแทงตัวมันหมด








วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กระชาก จีวรมัดไพล่หลังขังคุกโดยไม่ต้องสึก ถามสำนึกทรราชใจบาปวันวิสาขบูชา นี่หรือเมืองพุทธ!


นี่ หรือเมืองพุทธ?!-พระสงฆ์ที่เข้าสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดงถูก ปฏิบัติจากทหารโดยการกระชากจีวรออกจากร่างแล้วจับมือไพล่หลัง และนำไปขังคุก โดยไม่ต้องทำพิธีสึก ส.ส.เพื่อไทยอภิปรายในสภาเป็นพระจริง ชาวบ้านกราบไหว้เลื่อมใส ไม่ใช่พระปลอมเหมือนที่ทรราชใจบาปยัดข้อหาผู้ก่อการร้ายให้


นาย สุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อค่ำวานนี้(27พ.ค.)ว่า วันที่ 28 พ.ค.นี้เป็นวันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก แต่มีเรื่องน่าสะเทือนใจชาวพุทธก็คือ ในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมนั้น ได้มีการจับกุมพระสงฆ์ที่เข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมอย่างน้อยก็ 5 รูปที่เขาได้เข้าไปเยี่ยมที่เรือนจำ

รัฐบาลพยายามบอกว่าพระที่โดน จับกุมนี้เป็นพระปลอม และมีอาวุธ แต่จากการที่ได้เข้าไปเยี่ยมพระที่ถูกจับในเรือนจำยืนยันได้ว่าเป็นพระจริง โดยรูปหนึ่งนั้นเป็นพระในพื้นที่เลือกตั้งของเขาคืออำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธากราบไหว้มากรูปหนึ่ง โดยพระรูปนี้ถูกทหารจับกุมตัวในวันที่มีการกระชับพื้นที่สลายการชุมนุม

ทั้ง ที่เป็นพระสงฆ์อยู่และยังไม่ได้ให้ลาสึกแต่อย่างใด มีการกระชากผ้าเหลืองจีวรออกแล้วหาชุดนักโทษสีเหลืองจำคุกไว้ที่แดน9ในเรื่อ นจำกลางกรุงเทพฯ ร่วมกับพระรูปอื่นๆอีกรวม 5 รูป ในจำนวนนี้เท่าที่จำชื่อได้ เช่น พระสมุทร ขาวอ่อน อยู่แดน 6 กับพระจากขอนแก่น และสระบุรีรวม 3 รูป อีกรูปหนึ่งนามสกุลมุทุกันต์ มาจากอุบลราชธานี สอบถามดูเป็นลูกหลานของอดีตรัฐมนตรีปิ่นมุทุกันต์ ถูกขังอยู่ในแดน 9กับพระจากท่าวุ้งลพบุรี

"เรื่องนี้สะเทือนใจชาว พุทธมากครับ ผมเพิ่งไปเยี่ยมทั้ง5ท่านมา ทำอย่างนี้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระปลอม กระชากจีวรออกยัดคุก หาชุดนักโทษให้ท่านใส่ โดยที่ไม่ได้สึกตามพิธีทางพระพุทธศาสนา ท่านก็ยังถือว่าท่านเป็นพระอยู่"นายสุชาติกล่าว และว่าหากพระเหล่านี้จะมีความผิดก็คือ ท่านตามมาดูแลชาวบ้านที่มาชุมนุม กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เวลาทหารจะเข้ามายิงท่านก็ไปขอบิณฑาตชีวิต ปรากฎว่าท่านโดนจับเสียเอง และถูกปฏิบัติไม่สมกับเมืองไทยเป็นเมืองพุทธแม้แต่น้อย

ขอ บิณฑาตชีวิต-กลุ่มพระสงฆ์ที่สนับสนุนคนเสื้อแดงขึ้นขอบิณฑบาตชีวิต ผู้ชุมนุมในวันสุดท้ายก่อนถูกสลาย โดยรูปหนึ่งได้วิงวอนให้ในหลวงทรงโปรดใช้พระบารมีเป็นที่พึ่งแก่ผู้ชุมนุม ด้วย


สิ่ง ที่ได้รับ-สิ่งที่พระสงฆ์ได้รับคือชีวิตที่ถูกสังหาร โดยท่านเหล่านี้ได้ช่วยญาติโยมเป็นครั้งสุดท้ายคือการหามร่างผู้บาดเจ็บ หรือไร้ชีวิตเข้าไปยังวัดปทุมวนาราม










กระชาก จีวรจับมือไพล่หลังขังคุกไม่ต้องสึก-พระสงฆ์ที่เข้าสนับสนุนการ ชุมนุมถูกปฏิบัติจากทหารโดยการกระชากจีวรออกจากร่างแล้วจับมือไพล่หลัง และนำไปขังคุก โดยไม่ต้องทำพิธีสึก

อ.จุฬาฯ" ดร.สุธาชัย"อดข้าวประท้วงถูกคุกคามสิทธิ ทหารยึดหนังสือวิชาการ ไม่ให้อ่านในที่ควบคุมตัว

มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อเช้าวันที่ 27 พฤษภาคม กลุ่มนักวิชาการที่ใกล้ชิดกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถูกควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และถูกนำไปควบคุมตัวที่ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี หลังเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับแจ้งว่า นายสุธาชัยเริ่มอดอาหารประท้วง เพื่อแสดงความไม่พอใจ กรณีทหารยึดหนังสือทางวิชาการที่ได้นำติดตัวเข้าไปอ่านในสถานที่ควบคุม โดยถือว่า เป็นการคุกคามสิทธิส่วนตัวและสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ ทั้งนี้ นายสุธาชัยยืนยันว่าจะอดอาหารประท้วงจนกว่าจะได้รับหนังสือคืน

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ. )กล่าวถึงกรณี ดร.สุธาชัยอดอาหารประท้วง ว่า ที่ผ่านมานักวิชาการรายอื่นที่วิจารณ์ ศอฉ.ก็ไม่ได้มีการควบคุมตัว แต่ ดร.สุธาชัยเป็นบุคคลที่มีหมายจับ และมามอบตัวเอง การที่ไม่รับประทานอาหารก็คงทำให้หิว แต่ก็เป็นสิทธิของนายสุธาชัย อย่างไรก็ตาม ศอฉ.ควบคุมตัวตามอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ต้องควบคุมตัวในสถานที่ไม่ใช่ทัณฑสถาน เรือนจำ แต่ให้ควบคุมในสถานที่ที่เป็นศูนย์ฝึกได้ ทั้งนี้ ศอฉ.ตามกรอบกฎหมาย แต่หากท่านไม่ทานอาหารจริง ท่านกินเจเล่ก็คงจะอิ่มอยู่แล้ว

องค์การ นิรโทษกรรมสากลขอให้นานาชาติตรวจสอบเพื่อไม่ให้มีการละเมิดสิทธิผู้ถูกจับ กุม

คลอดิโอ กอร์ดัน เลขาธิการใหญ่ขององค์การนิรโทษกรรมสากลระบุ พร้อมทั้งเรียกร้องว่า ประเทศไทยควรยินยอมให้คณะสืบสวนนานาชาติเข้าไปสอบสวนเพื่อพิสูจน์กรณีทหาร สลายการชุมนุมของผู้ประท้วงในเดือนนี้ AFP รายงาน

กอร์ดันให้สัมภาษณ์AFPเพิ่มเติมว่า องค์การนิรโทษกรรมกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์ความรุนแรงบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ในเดือนนี้ โดยเขายอมรับว่า ฝ่ายความมั่นคงของไทยประจันหน้าผู้ประท้วงด้วยการใช้อาวุธปืน

"แต่ใน ขณะปฏิบัติการของพวกเราเห็นว่าทหารยิงปืนอย่างตามใจชอบไปยังผู้ประท้วง และบางครั้งก็ชัดเจนว่าพวกเขาเล็งปืนยิงไปยังผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ"

ผู้ ก่อการจลาจลถูกจับกุมตัวไป แต่ไม่ทราบจำนวนของผู้ถูกจับกุมอย่างแน่ชัดไปอยู่ในศูนย์กักกันของทางการ จึงมีความเสี่ยงที่อาจถูกละเมิดสิทธิไปโดยไม่มีใครรู้ชะตากรรม


"ขั้น ตอนแรกสำหรับรัฐบาลจะต้องเปิดเผยจำนวนผู้ที่พวกเขาจับกุมไปเพื่อให้ได้รับ การปฏิบัติอย่างเหมาะสม"

"ในขณะเดียวกันยังมีต้องเพื่อการตรวจสอบ ถูกต้อง และรัฐบาลไทยอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานสืบสวนระหว่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าการสอบสวนนี้จะเป็นไปโดยเป็นอิสระและเชื่อถือได้"กอร์ดัน กล่าว

ความจริงจากปากชาวบ้านตกเป็นเหยื่อกระสุนบอกถูก"ทหารยิง"




ชาวบ้าน 3 คนที่ถูกลูกหลงในเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารส่งกำลังเข้ากระชับพื้นที่
การ ชุมนุมของจากกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 บอกเล่านาที
ถูกกระสุน พุ่งเข้าใส่จนต้องหามส่งโรงพยาบาล
 1 รายสูญเสียตามองไม่เห็นทั้งสองข้างกระสุนยังคาอยู่ใต้ตา
อีกรายหนึ่งรอด มาจากกระสุนถล่มยิงวัดปทุมวนารามเล่านาทีหลบอยู่ใต้ท้องรถกระสุนเข้าที่หลัง และมือ และ
รายสุดท้ายรอดชีวิตมาได้หวุดหวิดจากกระสุนที่ทะลุกะโหลกคน ข้างๆมาปักที่ต้นคอเฉียดเส้นเลือด


ที่ชั้น 9 โรงพยาบาลกลางในห้องพักผู้ป่วยชายมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กระชับ พื้นที่เข้ารักษาตัว 4 ราย
ชายวัย 40 ปี  นายกิตติชัย แข็งขัน ชาวขอนแก่นถูกเข็นไปล้างแผลตั้งแต่บ่ายโมงกลับมาอีกทีตอนบ่าย 4 โมง
ด้วย สภาพอิดโรยบอกกับผู้สื่อข่าวว่าเหนื่อยหน้ามืดคุยไม่ไหวแต่ยังแข็งใจตอบคำ ถาม


นายกิตติชัย แข็งขัน



"ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองประสบมาเห็นมากับตาถ้าไม่ เห็นแบบนี้ก็พูดไม่ได้" คำตอบจากนายนายกิตติชัย
ในฐานะชาวบ้านคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้มาร่วมชุมนุมแต่มาทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)
ช่วยหลาน เดินสายไฟฟ้าใน สตช.
แต่จะแวะเวียนไปร่วมกินข้าวกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ชาวขอนแก่นในฐานะคนบ้านเดียวกันไม่คิดว่าจะถูกยิงปางตายเช่นนี้


นาย กิตติชัย นอนซมอยู่บนเตียงคนป่วยโดยมีผ้าพันแผลติดอยู่ที่ด้านหลังเหนือเอวขึ้นมา
และ บริเวณมือขวา มีสายน้ำเกลือโยงไปที่แขน นอนหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนเตียงท่าทางอิดโรยนอนหงายไม่ได้
เล่าถึงนาทีที่ ถูกยิงบาดเจ็บว่า ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม หลังจากที่ผมออกมาจาก สตช.
เพื่อ ไปหาผู้ชุมนุมชาวขอนแก่นตามปกติเพราะคิดว่าแกนนำได้มอบตัวหมดแล้ว จึงคิดว่าเหตุการณ์น่าจะสงบแล้ว
แต่พอไปถึงถูกไล่มาเรื่อยๆจากแยกศาลา แดงมาจนถึงแยกราชประสงค์ การ์ดเสื้อแดงบอกให้วิ่งเข้าไปหลบในวัด
จะ ปลอดภัยที่สุดผู้คนแตกกระจายวิ่งหลบเข้าไปในวัดปทุมบ้าง สตช.บ้าง


"ผม มาจากทางศาลาแดงมาเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดีกับเวทีสลายหมดแล้ว การ์ดก็ให้วิ่งเข้าไปในวัด
พอไปถึงผมก็พักผ่อนนอนเล่นกันอยู่ตั้งนานถึง ได้ยินเสียงปืนดังมาอีก จึงเข้าไปหลบใต้ท้องรถ
ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม เขายืนอยู่บนทางรถไฟฟ้ายิงเข้ามาในวัดต่างคนต่างหลบกัน
ผมโดนยิง ข้างหลังกับมือ พวกเราไปหลบอยู่ใต้ท้องรถ 5-6 คน 


ตอนที่ผมโดน ยิงทหารก็ให้ออกมาจากใต้ท้องรถ เขายิงมาจากบนสะพานรถไฟฟ้า ผงกหัวขึ้นไม่ได้เลย
พอโดนลูกปืน มันร้องให้ออกมา แต่ไม่มีใครออกไป พอผมโดนยิง ผมบอกว่ายอมแล้วๆมันก็ยิงใส่มืออีก
มันโกหกบอกให้ออกมายิง แต่ผมไม่ไหวแล้วเลือดออกเยอะ พอออกมามันบอกให้ผมถอดเสื้อออกแล้วยกมือขึ้น
แล้ว วิ่งไป ผมก็วิ่งไปหาพยาบาลทำแผลให้ ผมยืนหันหน้าเห็นทหารเขาเล็งมาใส่ผม แต่ตอนนั้นเขาไม่ยิงใส่แล้ว
เพราะเห็นว่าผมถูกยิง บอกให้ถอดเสื้อ ยกมือขึ้น ผมก็ยกมือขึ้นสองข้างแล้วก็วิ่งไปเลย" 
นายกิตติชัยกล่าวและ ยืนยันอีกครั้งว่า


"ผมเห็นเขายิงผมยืนยันไม่มีใครหรอกนอกจาก ทหารใส่ชุดพรางใส่หมวกเขาก็ตะโกนให้ผมออก
ผมก็ตะโกนออกแล้วครับ ผมก็บอกยอมแล้วครับเห็นยืนเล็งใส่ผมอยู่ ถ้ามันยิงตอนผมถอดเสื้อคงตายแล้ว
แต่ มันก็บอกให้ผมวิ่ง ผมก็วิ่งไปหาพยาบาลไปอ่อนแรงตรงนั้น พอทำแผลใกล้เสร็จห้ามเลือด
เขาก็ยิงมาใส่หลายนัด โดนฝรั่งที่กำลังถ่ายรูปผมอยู่ จากนั้นผมก็สลบไปเลย"


นายกิตติ ชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า
"ผมนอนเจ็บอยู่หลายชั่วโมงทหารไม่ให้ออกมา ไม่ให้รถพยาบาลเข้าไปเอาออกมาด้วย
ผมสลบอยู่หลายรอบเพราะเสียเลือด มากกว่าจะมาถึงโรงพยาบาล 5 ทุ่มแล้วถูกยิงตั้งแต่ 6 โมง
พยาบาลที่ไปนำ ตัวผมออกมาจากในวัดต้องหามออกมาใส่รถด้านนอกเพราะไม่ให้เอารถเข้าไปรับ"


นาย กิตติชัย กล่าวอีกว่า
เพื่อนที่หมอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยกันมาเยี่ยมบอกว่า มีคนที่แอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยกันถูกยิงเสียชีวิต
และยิงมาจากสะพานรถไฟ ฟ้า  มีคนไม่น้อยๆไปหลบในวัดประมาณ 4-5 พันคน
บางคนวิ่งไปที่โรงพยาบาล ตำรวจบางคนวิ่งเข้าไปหลบในวัด
ก็นึกว่ารอดแล้วแต่ก็ยังโดนจนได้ในวัดที่ คิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว


"เสียใจกับผู้ชุมนุมเหมือนกันคงจะเจ็บ เหมือนกัน ขนาดผมโดนแค่นี้ยังเจ็บ
คนที่ไม่ไหวเขาคงโดนหนักกว่าผม สลบในวัด 2-3 รอบกว่าจะมาถึงนี่" นายกิตติชัยกล่าว


นายเสกสิทธิ์ ช้างทอง



ทางด้านนายเสกสิทธิ์  ช้างทอง อายุ 28 ปี มีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างประจำอยู่แถวโพผธิ์สามต้น
มีคนจ้างให้มา ส่งที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 19 พ.ค. เวลาประมาณ 10.00 น. 
ถูกกระสุน ปืนยิงเข้าที่ใต้ตาซ้ายทะลุตาขวาตัดเส้นประสาททำให้ตาบอดทั้งสองข้าง
เล่า นาทีก่อนทุกอย่างรอบกายจะมืดสนิทว่า


"เสียงปืนดังไม่หยุด ยิงมาเป็นชุดๆ  ต้นไม้ กิ่งไหม้ข้างถนนปลิว กิ่งไม้ร่วง
เห็นว่ายิงมา จากทางยกระดับจากข้างบน แค่นั้นก็กลัวแล้ว  นั่งอยู่กับที่ จังหวะนั้นก็หันซ้ายหันขวาหาทางหนี
แต่ก็ไม่ทันกระสุนกระแทกเข้าตา พยายามลืมตาอีกข้างแต่ลืมไม่ได้
หลังจากนั้นก็ลืมไม่ได้อีกเลย ลืมได้ก็มองไม่เห็น จึงยกมือบอกให้ช่วยและนำมาส่งที่โรงพยาบาล" 


นาย เสกสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นทีไรยังผวาจนถึงทุกวันนี้ว่า
เสียง ปืนสนั่นรอบด้านเป็นอะไรที่ผวาได้ทุกวันนี้ ได้ยินเสียงของหล่นตอนกลางคืนนอนหลับอยู่
ลุกขึ้นมานั่งได้ง่ายๆ 1-2 วันแรกเป็นแบบนั้นแต่ตอนนี้ดีขึ้น


"จังหวะที่ประชาชนขนยางมาทำ เป็นบังเกอร์ทหารจึงเริ่มยิงสนั่นหวั่นไหว เป็นภาพที่ติดตาจนถึงตอนนี้"
นาย เสกสิทธิ์ย้ำอีกครั้ง


"หมอบอกว่า โดนยิงที่ตาข้างซ้ายไปตุงที่ตาข้างขวา ทำลายเส้นประสาทตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น"
นายเสกสิทธิ์บอกเล่าอย่างสิ้น หวังก่อนจะเล่าต่อถึงสาเหตุที่ต้องสูญเสียดวงตา


"ตรงนั้นมีคนมา มุงเยอะ ผมก็จอดดูแล้วก็มีเสียงปืนดังเป็นชุดๆ แล้วก็มาเข้าที่หน้าผม 1 นัด ดังมาจากทางฝั่งทหาร
เพราะตอนที่ผมส่งลูกค้าก็เข้าไปข้างในพื้นที่ ชุมนุมไม่ได้ คนก็มาออกันอยู่ตรงนั้น
เผชิญหน้ากับทหารมีประชาชนมาเยอะ เต็มสองฝั่งเหมือนปิดถนน มีประชาชนโห่ไล่ทหาร
มีคนกลุ่มหนึ่งเอายางมา กั้นทำเป็นบังเกอร์ จากนั้น
ทหารยิงปืนขึ้นฟ้าไปตกตรงไหนไม่รู้แต่มาตก ใส่ตาผมนัดหนึ่งกระสุนมาจากทางทหาร"
นายเสกสิทธิ์กล่าวยืนยันวิถีกระสุน ที่พุ่งเข้ามาทำลายประสาทตา 



แม้นายเสกสิทธิ์ ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไปเขายังหวังจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง
เพื่อ ทำมาหากินเลี้ยงลูกและเมียได้ตามเดิม เพราะเขาคือหัวหน้าครอบครัวที่ขับรถรับจ้างเพื่อแลกเงิน
แต่ตอนนี้ทำไม่ ได้แล้วเขายังคงเป็นห่วงลูกชายที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้น ป.1 
และบ้านที่ ผ่อนไปได้แค่เดือนแรก แล้วลูกกับเมียจะทำอย่างไรต่อไปหากเขาต้องมาสูญเสียดวงตาไป 


"ผม ก็มั่นใจว่าผมจะมองเห็นอีกครั้งลูกเมียผมกำลังรออยู่ ขอให้ผมหายเหมือนเดิม
ขอ ให้ไปหาเงินผ่อนบ้านเลี้ยงลูกเหมือนเดิม ถ้าผมไม่หายขอให้ลูกเมียผมได้อยู่อย่างที่ผมหวังไว้เท่านั้นเอง"
เสียง ความหวังปนกับคำร้องขอจากนายเสกสิทธิ์ที่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ไปดีกว่า การให้กำลังใจตนเอง
แม้หมอจะบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะมองเห็นหากผ่าก็ อันตรายเสี่ยงที่จะติดเชื้อและน็อคไปเลย ทางที่ดีที่สุดคือ
ปล่อยไว้ อย่างนี้ดีกว่า


ความช่วยเหลือที่เป็นความหวังเดียวจากชายตาบอด ผู้นี้คือ
หวังจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ง ชาติหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
อย่างน้อยก็ช่วยให้ลูกชายได้เรียนต่อ และภรรยาของเขาได้มีที่พักอาศัย ส่วนตัวเขาเองก็ก้มหน้ารับอยู่ในโลกมืดต่อไป


"ที่ไปไม่คิดว่าจะ เจอกับตัวเอง ไม่ได้ตั้งใจจะโดนกับตัวเอง แต่จะไปหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
แต่ ชะตากรรมมันเลี่ยงไม่ได้ "


นายภัสพล ไชยพงษ์




นายภัสพล ไชยพงษ์  อายุ 40 ปี พ่อค้าใส่เสื้อสีดำเข้าไปขายของในพื้นที่ชุมนุม
กลายเป็นอาสาสมัครขับรถ มอเตอร์ไซต์เปิดทางส่งคนเจ็บไปรักษาพยาบาล
เล่านาทีรอดชีวิตหวิดหวิด จากกระสุนปืนไม่ทราบทิศทาง
พุ่งมาเจาะกะโหลกคนข้างๆล้มทับกระสุนทะลุเข้า ที่ต้นคอของเขา
และกระสุนนัดนั้นต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเพราะแพทย์ไม่ แนะนำให้ผ่าออก
เนื่องจากมันเฉียดกับเส้นเลือดดำไปนิดเดียว


"ผม ขับมอไซต์เอาของไปเก็บไม่ได้ขายของวันนั้นไปเก็บที่สยาม แล้ว
จังหวะนั้น มีคนโดนยิงมูลนิธิขออาสาให้ผมขับรถเปิดทางขับไปช่วยคนเจ็บได้ 3 เที่ยว
กำลัง ยืนคุยกันอยู่สักพักมีเสียงเปรียะดังขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งโดนยิงหัวทะลุท้ายทอยมาล้มทับผม
กระสุนทะลุมาเจาะคอผมต่อ ไม่ทราบว่าใครยิงเห็นทหารกับรถถังอยู่ลิบๆ ที่เข้ามาทางโรงพยาบาลจุฬาฯ
ตอน นั้นได้ยินแต่เสียงกระสุนมากระทบหนังเรา ชาไปหมด พอคลำดูมีเลือดไหลออกมาจึงรู้ว่าถูกยิง"
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop