ผู้สนับสนุน

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มหาอำนาจ "กษิต ภิรมย์" เปิดศึก "จีน-อินเดีย-รัสเซีย" และชะตากรรม "ไทย" ในเวทีโลก


ใครจะไปนึกว่าเพียงแค่ 1 วัน "กษิต ภิรมย์" จะเปลี่ยนไป

วันที่เขามาปัจฉิมกถาในงานสัมมนาวิชาการอุษาคเนย์ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2554 ในหัวข้อ "สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

"กษิต" พูดถึงความเสมอภาคของเพื่อนบ้าน และอยากให้มองไปข้างหน้ามากกว่ารื้อฟื้นประวัติศาสตร์

"เป็นภาระของผู้นำสองประเทศเพื่อหาจุดร่วม ต้องเคารพประเทศเพื่อนบ้าน  ลัทธิการดูแคลนจะได้หมดไป"

แต่ผ่านไปแค่วันเดียว เมื่อนายกษิต ไปร่วมสัมมนาหัวข้อ "ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เหตุการณ์ปกติ ?" ที่จัดโดยกรรมาธิการการต่างประเทศวุฒิสภา

ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป

เปลี่ยนจาก "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" ที่ไม่ดูแคลนประเทศเพื่อนบ้าน กลายมาเป็น "กษิต" บนเวทีพันธมิตรฯคนเดิม

คนที่เคยเรียก "ฮุนเซน" ว่า "กุ๊ย"

แต่ครั้งนี้เบาลงมาเพราะเรียก "ฮุน เซน" ว่า "เด็กเกเร"

"แม้เขมรจะแสดงให้เห็นภาพว่าเป็นผู้ถูกกระทำ ขอความเห็นอกเห็นใจว่าผ่านการสู้รบมาตลอดเพื่อให้ได้สิทธิเสรีภาพ แต่ความเห็นใจเหล่านี้ไม่อนุญาตให้สมเด็จฯฮุน เซน เป็นเด็กเกเรกับประเทศไทย ต้องชี้แจงว่าตอนนี้มีเด็กเกเรตอแยอยู่ข้างบ้าน แต่เราก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีมิตรจิตมิตรใจกับชาวกัมพูชาที่ยากจนทุกคน"

"กัมพูชา" คือ "เด็ก"  ส่วน "ไทย" เป็น "ผู้ใหญ่ใจดี"

และยังยกตัวอย่างเรื่องการสร้างทางรถไฟจากสระแก้วไปกรุงพนมเปญ ให้คนกัมพูชาเข้าไทยโดยไม่ต้องใช้วีซ่า         
           
"เราต้องชี้แจงกับสหประชาชาติว่าพร้อมให้เงิน ให้ความหวังดี แม้จะมีเด็กเกเรอยู่ข้างบ้าน"

เป็นความใจดีที่ดูเหมือนลำเลิกบุญคุณอย่างยิ่ง

เหมือนกับลืมคำพูดของตัวเองเมื่อวาน

"ลัทธิการดูแคลนจะได้หมดไป"

"กษิต"กลับมาเป็น "กษิต" คนเดิมอีกครั้ง 

...........

ลำพังแค่พูดถึง "ฮุน เซน" นั้นไม่ใช่เรื่องน่าตกใจนัก

แต่ที่น่าตระหนกมากกว่า คือ การพูดถึง จีน อินเดีย และรัสเซีย

"อย่างเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่กัมพูชาทำสำเร็จ โดยอาจจะมีประเทศอื่นสนับสนุน อย่างเช่น รัสเซีย อินเดีย จีน แล้วจึงฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ"

ถ้าดูแค่เนื้อหา โดยไม่รู้ว่าคนที่พูดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไหน
          
คนส่วนใหญ่คงคิดว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ ระดับ สหรัฐอเมริกา
           
ไม่ใช่ประเทศไทย

เพราะการกล่าวหา 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ว่าอยู่เบื้องหลัง "กัมพูชา" ในการปะทะกับไทยนั้นถือเป็น "เรื่องใหญ่" ในวงการทูต

กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน

เป็นการเพาะศัตรูโดยไม่จำเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึง"รัสเซีย" ว่าโกรธไทยเพราะไม่ยอมซื้ออาวุธ และดูถูกว่าไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจเหมือนเดิม แต่เป็นแค่ประเทศขนาดกลาง

นอกจากนั้นยังเปิดไพ่ชัดเจนว่าไทยมี "สหรัฐ" เป็นพันธมิตร

"ผมจะทวงสัญญากับสหรัฐ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรกันและมีสัญญาระหว่างกันมากมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาไทยกับกัมพูชาด้วย"

ยิ่งพูดยิ่งทำให้คนนึกถึงกรณี "วิกเตอร์ บูท"

เหมือนกับมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรบางอย่าง ที่ทำให้รัฐบาลไทยส่งตัว "บูท" ให้สหรัฐอเมริกา

นอกจากสถานการณ์ที่เป็นรองในเวทีระหว่างประเทศแล้ว 

การที่ไทยมี "กษิต" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปเจรจากับกัมพูชาต่อหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
          
เพราะไม่รู้ว่าเขาจะคุมอารมณ์ของตนเองได้หรือเปล่า

"กษิต" นั้นประกาศแล้วว่าเขาจะถามนายฮอ นัม ฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาแบบเปิดอกว่าจะรักษาอาเซียน และความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ

"หรือสู้รบฟาดฟันกันตลอดแนวชายแดนก็ได้ แต่ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอย่ามาต่อกรกับไทย  เพราะหากยังเกเรมีแต่เจ็บลูกเดียว"

ถามว่าคณะมนตรีความมั่นคงฯที่นั่งฟังอยู่  เขาจะรู้สึกอย่างไร

ประเทศไทยเป็น "ผู้ใหญ่ใจดี"

หรือเป็น "เด็กเกเร" กันแน่

นี่คือ ชะตากรรมของประเทศไทยที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop