ผู้สนับสนุน

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทนายยื่นคำร้องปล่อยตัวบก.ลายจุด ศาลนัดไต่สวน 2 ก.ค.

ทนายยื่นคำร้องปล่อยตัวบก.ลายจุด ศาลนัดไต่สวน 2 ก.ค.
 


นายอานนท์ นำภา ทนายความของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด หรือหนูหริ่ง นักกิจกรรมซึ่งถูกคุมตัวตามหมายควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อยู่ที่บก.ตชด. คลอง5 ปทุมธานี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอปล่อยตัวเนื่องจากการควบคุมตัวไม่ชอบ ศาลนัดไต่สวนในวันที่ 2 ก.ค.นี้ เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทนายความได้ยื่นคำร้องขอคัดถ่ายคำร้องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจร้อง ต่อศาลเพื่อขอหมายควบคุมตัวนายสมบัติ แต่ศาลไม่อนุญาตให้ดูหรือคัดถ่ายสำเนาดังกล่าว

คำร้องขอปล่อยตัว ระบุว่า วันที่ 26 มิ.ย.เวลาประมาณ 17.20 น.ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวผู้ร้องที่ทำกิจกรรมผูกผ้าแดงรำลึกถึงผู้เสียชีวิต จากการสลายการชุมนุมอยู่ที่แยกราชประสงค์ โดยแสดงหมายควบคุมตัวตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ 116/2553 ลงวันที่ 21 พ.ค.53 อ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้ต้องสงสัยตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้กระทำการหรือร่วมกระทำการอันจะทำให้เกิด เหตุการณ์ร้ายแรง ให้นำผู้ร้องไปควบคุมตัวที่ บก.ตชด. ซึ่งการควบคุมตัวดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ เพราะการออกหมายดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จและบิดเบือน ผู้ร้องมิได้มีพฤติการณ์ที่จะกระทำการหรือร่วมกระทำการอันจะทำให้เกิด เหตุการณ์รุนแรงดังที่เจ้าพนักงานกล่าวอ้าง

นอกจากนี้การควบคุมตัว ดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจโดยไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง เพราะตั้งแต่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลได้กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรงหลาย ประการอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น การปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ซึ่งมิได้บัญญัติข้อยกเว้นไว้แต่อย่างใด, การห้ามมิให้ประชาชนชุมนุมทางการเมืองอันเป็นสิทธิพื้นฐาน โดยรัฐบาลพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้การชุมนุมเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย, มีการใช้กำลังสลายการชุมนุมอย่างอำมหิต ไร้มนุษยธรรม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก, มีการจับกุม ควบคุมตัวประชาชนผู้เห็นต่างกับรัฐอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการคุกคามประชาชนผู้เห็นต่างกับรัฐบาล ใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง พยายามดำเนินคดีโดยตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งล้วนเป็นการใช้อำนาจไปตามอำเภอใจของรัฐบาล ขัดต่อหลักนิติธรรม เป็นการลุแก่อำนาจซึ่งศาลทราบดีอยู่แล้ว

คำร้องระบุอีกว่า คำร้องขอควบคุมตัวผู้ร้องนั้น มิได้เป็นดังที่เจ้าพนักงานกล่าวอ้าง เพราะรัฐบาลได้สลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 14-19 พ.ค.โดยใช้กำลังทหารทั้งที่การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากซึ่งข้อเท็จจริงทั้งหลายเหล่านี้ศาลทราบ ดีอยู่แล้ว ผู้ร้องเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ไม่อาจนิ่งดูดาย ในวันที่ 21 พ.ค.ผู้ร้องและประชาชนจำนวนหนึ่งจึงนัดพบปะทำกิจกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร นำภาพถ่ายมาแสดงในเชิงนิทรรศการโดยมิได้ก่อความรุนแรงแต่อย่างใด และการแสดงความคิดเห็นก็เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ การจงใจใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาควบคุมตัวผู้ร้องจึงเป็นการใช้กฎหมายโดยไม่สุจริต

นอกจากนี้การจะจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นก็ต้องทำเท่าที่จำ เป็นและจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธินั้นไม่ได้ ซึ่งอำนาจตุลาการเป็นองค์กรเดียวที่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร และอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ร้องได้ จึงขอศาลได้โปรดมีคำสั่งเรียกและเบิกตัวผู้ร้องมาไต่สวนต่อหน้าศาล ไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง และมีคำสั่งปล่อยตัวผู้ร้องเนื่องจากเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานของสังคมและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแก่ผู้ร้อง และประชาชนผู้ถูกจับและควบคุมตัวอีกเป็นจำนวนมากสืบไป

บันทึก สีแดงจากที่คุมขังถึงมาร์ค


นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย อดีตผู้ถูกคุมขังคดีฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ จะไปยื่นหนังสือต่อสำนักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ดำเนินการเคลื่อนไหวปล่อยตัว"บก.ลายจุด" นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ซึ่งถูกควบคุมตัวข้อหาฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งให้ยกเลิกประกาศฉุกเฉินด้วย

ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้า เยี่ยมนายสมบัติเปิดเผยภาพถ่ายบันทึกลายมือของนายสมบัติเขียนด้วยปากกาสีแดง หลายฉบับ ระหว่างถูกควบคุมตัวในที่คุมขัง ค่ายตชด.ปทุมธานี ซึ่งมีเนื้อหาบางตอน ดังนี้

เบื้องบนมีเพดาน
เบื้อง ล่างมีพื้นปูน
เบื้องหน้ามีลวดหนาม
เบื้องลึกยังมีความคิดจักยัง ต่อสู้

ยุงกินเลือดเราแต่น้อยเพื่อมันดำรงอยู่
กระสุนกินเลือดเรา หมดร่างเพื่ออำนาจผู้สั่งการดำรงอยู่

ห้ามฉันพูด ฉันก็จะพิมพ์
ห้าม ฉันพิมพ์ ฉันก็จะเขียน
ห้ามฉันเขียน ฉันก็จะคิด
หากห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลมหายใจฉัน

ขอบคุณที่อภิสิทธิ์พาฉันมาปรองดองที่ค่ายตำรวจ ตระเวณชายแดน วันหนึ่งคุณคงได้มีโอกาสมานอนปรองดองที่นี่บ้าง ฉันจะรอ

ฉัน คว้าปากกาสีแดง แล้วเดินไปที่ป้ายที่ติดไว้บนตึกนอน หาพื้นที่ว่างบนป้ายนั้น แล้ววาดรูปพระอาทิตย์หกแฉกลงไป ข้างๆตัวอักษรเขียนว่าประกาศ

ฉันหยิบเสื้อแดงตัวเก่าที่ยังไม่ได้ซัก มาใส่ เพื่อต้อนรับคนเสื้อแดงที่มาเยี่ยม มันคงไม่สกปรกไปกว่ามือที่เปื้อนเลือดของใครบางคนที่ล้างไม่มีทางออก

นาย ตำรวจยศพล.ต.ต.ท่านหนึ่งขอนั่งคุยกับผมในฐานะหัวหน้าชุดอะไรสักอย่าง เขาเป็นผู้ฟังที่ดีมากคนหนึ่งที่ผมเคยคุยด้วย เขาเรียกการสนทนานี้ว่า"การซักถาม"ไม่ใช่การสอบสวน ส่วนผมบอกกับเขาว่า ผมเรียกสิ่งนี้ว่า"การสนทนา" เพียงแต่ว่าบทสนทนานี้จะถูกเขียนเป็นรายงานให้กับผู้บังคับบัญชา

อย่า มาบอกผมว่า ผมมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิอะไร
สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ผมมีมา ตั้งแต่เกิด
แต่สิ่งที่คุณต้องพูดคือ คุณละเมิดสิทธิของผมอย่างไรต่างหาก

ความ คิดที่เสรีบนพื้นฐานสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องถูกควบคุม
ความคิดและ การกระทำในการละเมิดสิทธิของประชาชนต่างหาก ที่ต้องถูกควบคุม

ก้าวต่อไปของ "คนเสื้อแดง" ว่าด้วย "ปฏิรูปประเทศไทย"


การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ที่สำคัญเป็นการปฏิรูปทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อนำสู่การสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม เพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง มิใช่เพื่ออำมาตย์อย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่มีประเวศ วะสีและอานันท์ ปันยารชุณ ดำเนินการอยู่


โดย แนวร่วมคนเสื้อแดง

“คนเสื้อแดง” คงเข้าใจกันดีว่า ข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่มีเหล่าเครือข่ายอำมาตย์ ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ เป็นผู้นำที่อ้างว่า เป็นตัวแทนภาคประชาชน รับภารกิจนี้ เพื่อกลบกระแส หลีกหนี “มือเปื้อนเลือด” “ฆาตรกรสั่งฆ่าประชาชน” ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย และคงอำนาจอำมหิตของระบอบอำมาตย์ให้มั่นคงไว้

แม้ว่า เครือข่ายอำมาตย์ จะอ้างว่า มีเจตจำนงค์ที่จะ“ปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาคในสังคมไทยก็ตาม แต่เนื้อแท้แล้วเป็นเพียงการซื้อเวลาในการคงอยู่ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่จะไม่ยุบสภา ไม่ให้มีการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมท่ามกลางกฎเหล็กพรบ.ภาวะฉุกเฉิน ในการข่มขู่ปราบปรามคนเสื้อแดง และการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” พร้อมๆกับหมายจับแกนนำคนเสื้อแดง

อย่างไรก็ตาม การ“ปฏิรูปประเทศไทย” นั้น เป็นสิ่งที่คนเสื้อแดงได้ต่อสู้เรียกร้องมาโดยตลอด เพราะ คนเสื้อแดง ต้องการ “ปฏิรูปประเทศไทย” ให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตย มีความเสมอภาค มีความเป็นธรรม และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่า
“คนเราเท่ากัน”

การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ของคนเสื้อแดง จึงมีข้อสรุปรวบยอด อยู่ที่ว่า “การปฏิรูปทางการเมือง” ให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจอธิปไตยต้องมาจากปวงชน อำนาจนอกระบบ(องคมนตรี ศาล ทหาร ฯลฯ)ต้องไม่แทรกแซงทางการเมือง ทุกคนหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากันในการเลือกผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ ที่มีวาระการขึ้นสู่อำนาจมีกฏกติการ่วมกัน มีกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุล

ประชาชน-สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในการรวมกลุ่ม เสียงส่วนน้อยต้องเคารพเสียงส่วนมาก ขณะที่เสียงส่วนมากต้องเคารพเสียงส่วนน้อยเช่นกัน

รูปธรรมของคน เสื้อแดงที่ผ่านมา จึงเสนอให้มีการยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน และแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ตลอดทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกพรบ.ฉุกเฉิน และปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมในสถานการณ์ปัจจุบัน

ท่ามกลางกระแส “ปฏิรูปประเทศไทย” การต่อสู้ขับเคลื่อนของคนเสื้อแดง คงชัดเจนว่า คนเสื้อแดงไม่เข้าร่วม “ปฏิรูปประเทศไทย” ของฝ่ายอำมาตย์ เพราะ “ปฏิรูปประเทศไทย” ของฝ่ายอำมาตย์ โดยอำมาตย์ ก็เพื่ออำมาตย์ นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของคนเสื้อแดงภายในข้อจำกัดของพรบ.ฉุกเฉิน และสถานการณ์ความรุนแรง คนเสื้อแดงซึ่งก่อตัวจัดตั้งกันขึ้นมาหลากหลายกลุ่มต่างๆ คงได้มีการจัดสรุปบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมาในด้านต่างๆทั้งปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก จุดอ่อนจุดแข็ง ปัญหาอุปสรรคของขบวนการคนเสื้อแดง บทบาทศูนย์การนำ ประชาธิปไตยในองค์กร และอื่นๆ ตลอดทั้งจะขยายคนเสื้อแดงให้มากขึ้นได้อย่างไร เพื่อก้าวต่อไปที่เข้มแข็งมั่นคงขึ้นกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน ผู้เขียนมีข้อเสนอว่า กลุ่มจัดตั้งคนเสื้อแดง ก็ควรชวนกันแลกเปลี่ยน ถกเถียง ขบคิด ถึงทิศทางอนาคตของสังคมประชาธิปไตยที่มีความเสมอภาคและเป็นธรรม โดยมีจุดยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ในสังคม ในเชิงรายละเอียดมากขึ้น เพื่อเป็นเค้าโครงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนยกต่อไปของคนเสื้อแดง เหมือนเช่น การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจสังคมไทยของคณะราษฎรภายหลังการปฏิวัติ 2475 ภายใต้บริบทที่ต้องการยุติบทบาทระบอบอำมาตยธิปไตยเพิ่มอำนาจระบอบ ประชาธิปไตย ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

การปฏิรูปทาง การเมืองหรือ ประชาธิปไตยทางการเมือง ที่สำคัญ เช่น มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้องลดอำนาจของนายอำเภอปลัดอำเภอต่อบทบาทในการ บริหารเทศบาล มีระบบลูกขุนในกระบวนการยุติธรรม และอื่นๆที่ต้องระดมความคิดเห็นกัน

การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญ เช่น เก็บภาษีมรดก ภาษีก้าวหน้า (ก้าวหน้าจริงๆ) กระจายการถือครองที่ดิน การสร้างรัฐสวัสดิการ สาธารณูปโภคฟรี การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี (ฟรีจริงๆ) การจัดสรรงบประมาณกองทัพให้น้อยที่สุด และอื่นๆที่ต้องระดมความคิดเห็นกัน

การปฏิรูปด้าน วัฒนธรรม-การศึกษา ที่สำคัญเช่น การศึกษาเรื่องประชาธิปไตย การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ไม่คลั่งชาติ ความสำคัญของวันชาติ 24 มิถุนายน 2475 บทบาทของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย การเคารพกลุ่มชาติพันธุ์ คนต่างชาติ และอื่นๆที่ต้องระดมความคิดเห็นกัน

การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ของคนเสื้อแดง จะประมวลสังเคราะห์ได้ก็จากการที่กลุ่มคนเสื้อแดงต่างๆได้ช่วยกันระดมความ คิดเห็น มิใช่หล่นมาจากฟากฟ้า หรือใครผู้ใดประทานให้มา

และแน่นอน ว่า การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ที่สำคัญเป็นการปฏิรูปทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อนำสู่การสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม

และ เป็นการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง มิใช่เพื่ออำมาตย์อย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่มีประเวศ วะสีและอานันท์ ปันยารชุณ ดำเนินการอยู่

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มุมมอง คกก.ปรองดองของนายจาตุรนต์

  นายจาตุรนต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ชี้แผนปรองดองของรัฐฯ ไม่ใช่แผนปรองดองอย่างแท้จริง และอาจทำให้ประเทศประสบกับวิกฤตมากกว่าเดิม

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี เห็นว่าแผนปรองดองของรัฐบาลที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะ ไม่ใช่แผนปรองดองอย่างแท้จริง นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้ประเทศประสบกับวิกฤตมากกว่าเดิม ถือว่าแผนปรองดองไม่มีอยู่จริง เป็นการซ้ำเติมปัญหา และยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นสองมาตรฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องของการเยียวยา ที่ช่วยเหลือแต่ในภาคธุรกิจ แต่กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมากถึง 88 คนรัฐบาลกลับละเลย ในขณะเดียวกันยังมีการกวาดล้างที่ทำให้พยานเกิดความหวาดกลัว และไม่กล้าออกมาเป็นพยานว่ารัฐบาลสั่งฆ่าประชาชน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ดำเนินการอยู่จึงเป็นสิ่งที่ร้ายแรงกว่าสมัย รัฐบาลเผด็จการด้วยซ้ำ

อาลัยเสธ.แดง ชื่อของนกนามของไม้ความหมายคน


ชื่อของนกนามของไม้ความหมายคน
ขัตติยะ สวัสดิผล ข้นศักดิ์ศรี
ถึงตัวตายเหลือตำนานผ่านร้อยพันปี
สถิตย์ทั่วชั่วดี วีรกรรม

มีกี่ดาวส่องสกาวดาวศรัทธา..
กี่กระบี่ที่หาญกล้าบ้า ระห่ำ?
กี่นายพลชนชาวไทยได้จดจำ?
"คน"คือคำความหมายลายเสธ.แดง

อาลัยเสธ.แดง -- "ลาก่อน"  
 

หลับให้สบายเถิดท่านนายพล
นายทหารผู้กล้าแห่งกองทัพไทย
วีรบุรุษผู้ ดำรงไว้ซึ่งความยุติ
ธรรม
ที่ท่านได้มอบให้แก่ประชาชน
ด้วยชีวิต และเลือดเนื้อของท่านเอง
...ขอกราบคารวะดวงวิญญาณพลตรีขัตติ ยะ สวัสดิผล
...ที่ท่านได้เสียสละปกป้องชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์
...หลับ ให้สบายนะคะ
...ท่านจะอยู่ในหัวใจของพวกเรา..ตลอดกาล .... แดงหลังตู้เย็น

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลูกไก่


โดย อรุณรุ่ง สัตย์สวี

ลูกไก่ตัวนั้นหายไปตอน หัวค่ำ
ได้ยินแต่เสียงแว่วติดหู ว่าใช่...ไม่ใช่
ความมืด เว้นช่องโหว่ไว้เล็กน้อยให้ควานตาหา
ความเงียบถ่อมตัวอยู่ในดงไม้เล็กๆ กลางเมืองใหญ่
แต่นั่นมิเพียงพอต่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตที่เล็กลงไปกว่า นั้น
ความเป็นความตายขนาบราตรีสีหม่นเทา

บ้านเมืองกำลัง ลุกเป็นไฟ
ทั้งในจอโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ท้องถนน ชนบท ในเมือง และทุกหัวระแหง
ห้ำหั่นกันมิยอมอ่อนข้อ
เก่า ใหม่ วนเวียน การสาบสูญของความยุติธรรม กดขี่ซ่อนรูปลวงตา
ขึ้นล่องล้วน เลือดเนื้อประชาชนเม็ดเบี้ยเสือกไสกระเสือกกระสนบนกระดานชีวิต

ลูก ไก่ตัวนั้นยังมีลมหายใจอยู่หรือกลายเป็นเหยื่อของสัตว์หน้าขนเขี้ยวเล็บคม
เสียง แว่วยังแวะเวียนให้มีความหวัง
ยิ่งนิ่งฟังกลับเงียบหาย
ความมืดถมช่อง โหว่เสียสนิทในดิ่งลึกดึกดำ

ฉันคิด...และเดินจากมาบนความ เงียบงัน
“ ไม่ว่าหมา! หรือแมว! ล้วนเป็นศัตรูตัวฉกาจของลูกไก่ ”

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จด หมายคุณณัฐวุฒิ จากที่คุมขัง ถึงเพื่อน


ผมเขียนเพลงนี้ กลางดึกคืนวันที่ 12 มิถุนายน แล้วมาต่ออีกวรรค ก่อนออกมาพบพี่น้องที่มาเยี่ยม ช่วงสายวันที่ 13

อยู่ที่นี่กว่า 20 วัน ตอนพลบค่ำ เห็นฝูงนกจับกลุ่มกันบินกลับรัง เป็นอย่างนี้ทุกวัน นกที่บินไปแล้ว ครั้นก็บินกลับมาใหม่ ต่างกับเพื่อนเราผู้จากไป พวกเขาไม่กลับมา

แต่ที่จริงพวกเขาไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ในในเราตลอดเวลา

แด่เพื่อน

" ตะวัน ผ่านสนธยา
สกุณา เคียงกลับรวงรัง
สิ้นแรง แห่งความหวัง (หลัง)
รุ่งราง แสงยังหวนคืน

อก เอ๋ย โอ๋หัวใจฉัน
คิดถึงวัน เพื่อนเราหยัดยืน
แผดดัง กระสุนปืน
ชีพ ถูกกลืน ดังไร้ราคา

หลับตาเถิด ผู้ทุกข์ทน
จะปลอบโยน เจ้าด้วยศัทธา
โบยบิน จากดินสู่ฟ้า
ผู้เข่นฆ่า ต้องชดใช้สักวัน"

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

องค์กร นิรโทษกรรมสากลเรียกให้นายกฯไทยจัดการสอบสวนอย่างเป็นธรรม

วันนี้ (12 มิ.ย.) องค์กรนิรโทษสากลได้เรียกให้นายกฯของไทยยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉินในทันที พร้อมกับให้จัดตั้งคณะกรรมสอบสวนที่เป็นอิสระและยุติธรรมเพื่อสืบสวน เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

นายอภิสิทธิ์ได้ เริ่มต้นตั้งคณะกรรมการสอบสวนนำทีมโดยอดีตอัยการคนหนึ่ง เพื่อหาเหตุของการเสียชีวิตของกว่า 90 ชีวิตในเหตุการณ์การปะทะช่วงที่ผ่านมาระหว่างกองกำลังทหารและกลุ่มผู้ ประท้วงต่อต้านรัฐบาลเสื้อแดง

"ความเป็นอิสระเป็นปัจจัยสำคัญอัน ยิ่งยวดต่อความน่าเชื่อถือของการสอบสวน" เลขาธิการองค์กรนิรโทษสากล นายคลอดิโอ คอโดเน กล่าว พร้อมกับแสดงความเห็นว่า การสืบสวนควรที่จะเป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องกับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย

"การ สอบสวนจะต้องไม่มีอคติ ซึ่งจะต้องรวมข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากทั้งสองฝ่าย"

การ ประท้วงของคนเสืื้อแดงจบลงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เมื่อกองทัพได้สลายการชุมนุมใจกลางกรุงเทพฯ การดำเนินการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความรุนแรงที่ทำให้ประชาชนกว่า 1900 ต้องบาดเจ็บ

นายคณิต ณ นคร หัวหน้าทีมสอบสวน ได้กล่าวว่า ความตั้งใจของเขาคือการระบุข้อเท็จจริงแทนที่จะเป็นการหาความรับผิดชอบ

แต่ ในจดหมายขององค์กรนิรโทษกรรมสากล ได้ร้องขอให้การสอบสวนต้องถูกดำเนินไปในทิศทางเพื่อการ "ดำเนินการทางกฏหมายต่อเหตุการณ์ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า" ที่ซึ่งถูกระบุไว้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นทั้งจากฝ่ายกองกำลังของรัฐและจากผู้ ประท้วง

รัฐบาลได้ปกป้องตัวเองในเรื่องของการใช้อาวุธ โดยกล่าวว่าพวกเขาอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงเพื่อเตือน, การปกป้องตนเอง และต่อต้าน "กลุ่มก่อการร้าย" ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้น

นาย อภิสิทธิ์ได้ประกาศถึงแผนการที่จะให้มีผู้ที่อยู่ข้างคนเสื้อแดงในคณะ กรรมการสืบสวนเพื่อที่จะให้มีความเชื่อมั่นต่อความเป็นกลาง อย่างไรก็ดีพรรคฝ่ายค้านได้เตือนว่า การกระทำทั้งหมดดังกล่าวจะเป็นเพียงการ "ล้างตัว" เท่านั้น โดยกล่าวว่านายคณิตนั้นใกล้ชิดกับรัฐบาลอย่างมาก

พร ก.ฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้มากว่าสองเดือน ครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศ ยังก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของความเชื่อมั่น เพราะได้ไปปกป้องเจ้าหน้าที่ที่สามารถใช้อำนาจกระทำการพิเศษบางอย่างได้ องค์กรนิรโทษกรรมกล่าว

พรก.ดังกล่าวยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่ อย่างกว้างและเกินกว่าเหตุต่อการเซ็นเซอร์ข่าวสาร "ซึ่งทำให้การแสดงออกและการแสดงความเห็นเป็นไปได้ยาก" จม.ระบุไว้

เจ้า หน้าที่ทางการไทยได้ปิดเว็บไซต์กว่า 1500 แห่ง ภายใต้พรก.ฉุกเฉิน อันรวมไปถึงวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

จมหมายต้นฉบับจาก Amnesty International ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2010

 

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คลิปเสวนา นักข่าวเล่าให้ฟัง : จากราชดำเนินถึงราชประสงค์

คลิปจากการเสวนา "นักข่าวเล่าให้ฟัง: จากราชดำเนินถึงราชประสงค์" อภิปรายและบอกเล่าเหตุการณ์โดยผู้สื่อข่าวในเหตุการณ์ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 53

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม 12 อาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย (Thailand Democracy Watch : TDW) จัดการเสวนาวิชาการในหัวข้อ “นักข่าวเล่าให้ฟัง : จากราชดำเนินถึงราชประสงค์” โดยมีผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง หรือ นปช. ในวันที่ 10 เม.ย.2553 และ 13-19 เม.ย.2553 มาร่วมอภิปรายและบอกเล่าเหตุการณ์

ผู้ร่วมเสวนา ประกอบไปด้วยผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และ โทรทัศน์ ฐปนีย์ เอียดศรีชัย จากไทยทีวีสีช่อง 3, สุรศักดิ์ กล้าหาญ จากบางกอกโพสต์, ตวงศักดิ์ สินชื่นธุวล จากมติชน, ทวีชัย เจาวัฒนา บรรณาธิการภาพจากเนชั่น, เสถียร วิริยะพรรณพงศา จากเนชั่น และสถาพร คงพิพัฒวัฒนา จากทีวีไทย โดยมี ผศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการอภิปราย ในการเสวนานี้มีผู้สื่อข่าวและ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยคลิปการเสวนามีดังต่อไปนี้


ช่วงที่ 1
ช่วงที่ 2

ช่วงที่ 3
ช่วงที่ 4
ช่วงที่ 5
ช่วงที่ 6
ช่วงที่ 7

ช่วงที่ 8

วิญญาณ ฆาตกร


เราต่างรู้ดีว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเล่นปาหี่-ตีสองหน้าอยู่กลางเมือง ในขณะที่ตามล้างตามผลาญฝ่ายประชาชนจนถึงขั้นสิ้นชีวิต บาดเจ็บ พิการ สูญเสียอิสรภาพ อาชีพการงานถูกทำลายย่อยยับ โดยไม่เห็นแก่ความเป็นคนใดๆ เลยนั้น ก็โหมประโคมข่าวสร้างภาพลักษณ์ว่ากำลังปรองดองสามัคคี พร่ำพูดหลักการกลวงๆ ที่ตัวเองไม่เคยคิดสร้าง เพื่อให้ฝ่ายฆ่าทำงานได้สะดวกขึ้น

คนสำคัญให้ความร่วมมืออย่างสุดใจ ขาดดิ้น เพราะเป็นเจ้าตำรับแห่งการกวาดล้างฝ่ายประชาธิปไตยและทำภาพของตัวเองให้ บริสุทธิ์สูงส่งไปพร้อมกัน ดีใจจนเนื้อเต้นว่าลูกน้องฆาตกรกลุ่มนี้กำลังสานต่อลัทธิปิศาจที่ตัวเอง สถาปนาขึ้น หลังจากที่ลองผิดลองถูกมาแล้วหลายครั้ง ปิศาจหัวหน้าและปิศาจลูกน้องจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เกิดมาเป็นหนอนก็ต้องแทะเล็มอุจจาระไปตามกำพืด

แต่ความชั่วร้ายใน วันนี้กลับไปปรากฏที่คนกลุ่มหนึ่งในกรุงเทพมหานครและเขตเมืองใหญ่ๆ ในประเทศนี้ ซึ่งกำลังทำให้ประเทศไทยกลายสภาพเป็นนครปิศาจไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เพียงเมืองฟ้าอมรที่ถูกฝูงปิศาจเข้าครอบครองเท่านั้น

นั่นคือ ชนชั้นกลางที่ไม่รู้สึกยี่หระอะไรกับความตายอันโหดเหี้ยมทารุณของชนชั้นราก หญ้า ภาพแห่งความตายหาไม่ยากด้วยเทคโนโลยีของยุคนี้ แค่ปรายตามองดูก็จะเห็นทั่วไปว่าอาวุธสงครามที่นำมาใช้กับประชาชนผู้ไร้ อาวุธในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓​มันทำอะไรบ้างกับมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้

ภาพนี้ก็เลือด สาด ภาพนั้นก็สมองกระจาย

ส่วนมากสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้เตรียมไป รบราฆ่าฟันกับใคร และส่วนใหญ่ก็ใส่รองเท้าแตะ อายุก็หลากหลายแตกต่างกันไป เด็กก็มาก คนแก่ก็เยอะ ไม่เหมือนกับฝ่ายฆ่าที่เป็นชายฉกรรจ์ในวัยยี่สิบต้นๆ ที่ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าโดยเฉพาะ

เห็นภาพเหล่านี้แล้วผู้คนจำนวน หนึ่งในประเทศที่เรียกว่าไทยกลับรู้สึกตายด้าน ไม่มีความเศร้าสะเทือนใจ ไม่มีน้ำตา ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของหัวใจที่จะมอบให้

กลับรู้สึกดีใจ เสียด้วยว่า ได้พื้นที่จราจรมาวิ่งรถหรูหราของตัวเองอย่างสะดวก ได้ห้างสรรพสินค้าคืนมาช็อปปิ้ง โดยไม่ต้องเห็นหน้าอันทุกข์ทรมานของคนยากจนในประเทศ ที่เขาเรียกกันเสียไพเราะว่าเพื่อนร่วมชาติอีกต่อไป

ใจดำขนาดนี้จะ ให้เรียกว่าอะไร และมันไหลออกมาจากไหน?

เสพสุขกันอยู่ได้อย่างไรครับ เมื่อคนแก่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามจนสมองกระจาย อาสาสมัครที่เข้าไปทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์ถูกฆ่าถูกรุมยิงเพราะฝ่ายฆาตกร ต้องการจะลากศพหลบไปเสีย เพื่อมิให้กลายเป็นหลักฐานแสดงพฤติกรรมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน

รู้สึก ปกติอยู่ได้อย่างไร?

โชคดีที่รัฐบาลชุดนี้ ได้รับคำพูดปลอบประโลมใจจากที่สูง เหมือนน้ำแร่ที่ไหลลงมาจากยอดเขา จนเกิดความเหิมเกริมที่จะสร้างกรรมชั่วต่อไปโดยไม่มีหิริโอตตัปปะปะ

เขา จึงทำอะไรกันกลางเมืองโดยไม่มีความละอายต่อบาปและไม่หวั่นหน้าอินทร์หน้า พรหม รู้สึกเสียแล้วว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมหันมายิ้มให้กับตน

แต่ง ตั้ง คณิต ณ นคร เป็นหัวหน้างานสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการสังหารหมู่

แต่ง ตั้ง สมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์ เป็นโต้โผในงานแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่งตั้ง วสิษฐ์ เดชกุญชร เป็นเจ้าภาพปฏิรูปตำรวจ

เพียงเท่านี้ก็บอกแล้วว่า เขาไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น เมื่อชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยผู้มีอำนาจมากในสังคมไทยสนับสนุนเขาอย่างออกหน้าออกตา เขาก็เหยียบหัวชนชั้นรากหญ้าขึ้นมายืนผึ่งผายได้

ครับ วิญญาณฆาตกรในวันนี้มันไหลเข้าไปสิงร่างของชนชั้นกลางในเมืองไทยเข้าด้วย แล้ว

โรคอำมหิตไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นสูงในสังคมไทยอีกต่อไปแล้ว

หมอ ผีคนเดียวคงเอาไม่อยู่ ขบวนการไล่ผีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจึงมีความจำเป็น.

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภาพ สุดท้ายของน้องเกด-น้องปลั๊ก

ภาพนี้ถ่ายประมาณสามเกือบสี่โมงเย็น ของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ได้จัดเตรียมเต้นท์ปฐมพยาบาลในวัดเสร็จ น้องเกดคนที่สองจากซ้ายอาบน้ำสระผมเห็นได้ว่ายังมีผ้าขนหนูสีน้ำตาลคลุม ศีรษะอยู่เลย น้องปลั๊กคือคนขวาสุดใส่เสื้อบ่งบอกจังหวัดบ้านเกิด "กาฬสินธ์" เป็นเด็กใช้ง่าย อัธยาศัยดีน่ารักมาก อาสาช่วยงานคนอื่นเสมอ เมื่อตายไปแล้วเงินที่ได้รับมาทั้งหมดยังได้นำไปใช้สร้างศาลาในวัดของหมู่ บ้านของน้องเขา เพื่อให้คนที่นั่นมีศาลาวัดใช้กันในงานศพของคนในหมู่บ้าน ขอให้น้องทั้งสองรับรู้ว่าพวกพี่ๆเพื่อนๆ ไม่ลืมคุณงามความดีและจิตใจที่เสียสละของน้อง และจะพยายามทวงถามความยุติธรรมให้

คลิปน้องปลั๊กดิ้นอย่างทรมานใต้โต๊ะภายใน เต๊นท์พยาบาลในวัดปทุมฯ ศพด้านหน้าคือน้องเกดที่นอนอยู่
 
 


สัมภาษณ์แม่กมนเกด

สภาพศพน้องเกดและน้องปลั๊กเช้าวันถัดมา


กรรมจะตามทันเมื่อวันหมดอำนาจ

สถานการณ์ในราช อาณาจักรไทยชักจะไปกันใหญ่แล้วครับ นายทหารท่านหนึ่งทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมายในอดีต ไม่นานมานี้ไปซื้อของที่ตลาดเทเวศร์ ขากลับมา ปรากฏว่ารถยนต์ที่จอดไว้โดนประชาชนคนในตลาดทุบกระจกแตกหมดทุกบาน อีกรายหนึ่ง เป็นคุณนายภริยานายทหารชั้นสัญญาบัตร ไปจ่ายตลาดตามปกติ ปรากฏว่า แม่ค้าปฏิเสธที่จะขายของให้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯนี่เองครับ ความขัดแย้งแฝงตัวลึกลงไปถึงขนาดกล้าทำร้ายผู้คนที่สังกัดสถาบันสำคัญต่างๆ แล้ว หากศึกษาประวัติศาสตร์ เหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้นในสังคมประเทศอื่น
วันนี้ มีการเปิดเผยภาพ พร้อมรายชื่อ ประวัติ และบุคคลในครอบครัวของสไนเปอร์จำนวน 100 คน นักยิงที่ฆ่าประชาชน/ตำรวจในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมก็เลยคิดว่าการล้างแค้นกันในสังคมไทยไม่น่าจะมีวันจบสิ้น เหตุการณ์เมื่อ 10 เมษายน 2553 เป็นแค่ "แอพพิไทเสอะ" อาหารจานเล็กที่เสิร์ฟครั้งแรกเพื่อเรียกน้ำย่อย ส่วนเหตุการณ์เมืองไทยในเดือนพฤษภาคม 2553 ก็เป็นเพียง Hors d’oeuvre ออเดิร์ฟ ผมหมายความว่าเป็นเพียงอาหารว่าง อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเป็น Entrซee อองเทร ที่เสิร์ฟหลังออเดิร์ฟ แต่มาก่อนอาหารจานหลัก
อาหาร จานหลัก และพวกขนมหวาน หรือเดแซร์ Dessert ซึ่งเป็นอาหารจานสุดท้ายก่อนเลิกเสิร์ฟนั้น น่าจะเริ่มมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป จนกระทั่งถึง พ.ศ.2560
อ่าน ประวัติศาสตร์ของมากมายหลายประเทศ หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่อสู้เสร็จสิ้นไปใหม่ๆ ฝ่ายที่ชนะและยังกำลังครองอำนาจก็ยังจะคงอยู่ได้ต่อไปสักระยะหนึ่ง ถ้าหมดอำนาจลงเมื่อใด "อายุความ" ก็จะโผล่ขึ้นมาเล่นงานท่านและคณะจนไม่มีที่อยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งปัจจุบันทุกวันนี้ มีการถ่ายภาพเหตุการณ์เกือบทั้งหมดไว้ แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีการนำมาเผยแพร่กันทั่วไปในประเทศไทย แต่ในอนาคต เมื่อรัฐบาลปัจจุบันพ้นอำนาจเมื่อใด ท่านก็จะเผชิญกับอภิพญามหาโคตรเคราะห์กรรมแน่
เหมือนอย่างนายอัลเบร์ โต เคนโย ฟูจิโมริ ในอดีตเคยเป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง สุดท้ายได้เป็นถึงอธิการบดี ด้านการศึกษาก็มีเกียรติประวัติดีเด่นมาก จบปริญญาตรีวิศวกรรมเกษตรโดยได้คะแนนสูงสุดของประเทศ ไปจบปริญญาโทด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีของเปรู
ระหว่างเป็นผู้นำก็เกิดเหตุการณ์ เหมือนกรณีเสื้อแดงที่ราชประสงค์นี่แหละครับ แต่เป็นพวกกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติตูปักอะมารู พวกนั้นจับแขก 600 คน ที่เข้าไปเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระจักรพรรดิที่ สถานทูตญี่ปุ่นในกรุงลิมาไว้เป็นตัวประกัน ต่อมามีการเจรจากัน จึงมีการปล่อยตัวประกันออกมาเป็นระยะๆ จนเหลือเพียง 72 คน
พอเหลือ ตัวประกัน 72 คน รัฐบาลก็ใช้วิธีการยึดพื้นที่คืนและกระชับ วงล้อม สั่งทหารให้บุกเข้าไปในสถานทูตและปล่อยตัวประกันออกมาได้ทั้งหมด ยกเว้นมีพลเรือนหัวใจวายตายไป 1 คน ทหารตาย 2 คน พวกตูปักอะมารูตาย 14 คน
การ ชาร์จช่วยตัวประกันน่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วโลก ตั้งแต่นั้นภาพอาจารย์มหาวิทยาลัยของ นายฟูจิโมริที่เคยใสก็เริ่มมัว ทุกคนเริ่มพูดถึงฟูจิโมริในแง่ที่เป็นประธานาธิบดีมือเปื้อนเลือด เป็นผู้นำที่ไม่มีความยุติธรรม ต่อมามีคนพูดถึงนายฟูจิโมริว่าเป็นผู้นำที่ไม่จริงใจ คือตัวแกเองมักจะพูดถึง การต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ในความเป็นจริง แกนั่นแหละเป็นไอ้ตัวละเมิด
หลังจากพ้นอำนาจไปแล้ว เดือนพฤษภาคม 2544 คณะอัยการของเปรูก็ประกาศว่า พวกตนได้รวบรวมหลักฐานได้ใหม่อีกหลายอย่าง และฟ้องฟูจิโมริในข้อหาฆาตกรรม เพราะมีหลักฐานจำนวนหนึ่งชี้ว่าประชาชนถูกฆ่า
ตอนที่นายฟูจิโมริ สั่งทหารเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันก็เหมือนกัน ตัวประกัน 600 คน ถูกพวกฝ่ายซ้ายขังอยู่ในสถานทูตญี่ปุ่นนานตั้ง 4 เดือน แต่มีภาพปรากฏในจอโทรทัศน์เห็นว่าทหารที่สั่งโดยประธานาธิบดีฆ่าพวกกองโจร ฝ่ายซ้ายระหว่างที่ชาร์จเข้าไปช่วยเหลือตัวประกัน
หมดอำนาจแล้ว นายฟูจิโมริก็โดยอัยการฟ้องในข้อหาฆาตกรรม แถมยังมีข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และข้อหาอื่นๆอีกบานเบอะเยอะแยะ ข้อหาดักฟังโทรศัพท์ของสื่อมวลชนก็มี ฯลฯ สุดท้ายก็ต้องหนี ต่อมาก็ถูกจับได้
30 กันยายน 2552 นายฟูจิโมริโดนตัดสินในคดีแรกซึ่งโดนลงโทษติดคุกไป 6 ปี
ขณะที่ยัง มีอำนาจ ก็ไม่มีใครไปแตะท่านดอกหรอกครับ แต่พอลงจากหลังเสือเมื่อใด เสือย้อนกัดท่านได้เมื่อนั้น
ประชาชนคนเปรูยังไม่เกลียดนายฟูจิโมริ มากเท่ากับประชาชนคนไทยส่วนหนึ่งในปัจจุบันทุกวันนี้ขยะแขยงแขงขนชนชั้นผู้ นำของตนเอง
ประชาชนบางกลุ่มถึงขนาดหยิบมีด หยิบส้อม ขึ้นมาชูหรา
ทั้ง ที่อาหารจานหลักยังมาไม่ถึงสักหน่อย.
นิติภูมิ นวรัตน์

บุก เปิดใจ 2เหยื่อปืน ถูกล่ามโซ่ เตียง"รพ." นักข่าวยัน ทหารยิง!


ล่ามซ้ำ - นายณัฐพล ทองคุณ และนายจรัญ ลอยพูล ถูกยิงด้วยเอ็ม 16 ต้องนอนรักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจ
พร้อมกับถูกล่าม โซ่ด้วยข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร้องขอความเป็นธรรมผ่านผู้สื่อข่าว ว่าถูกกระทำซ้ำทั้งที่บาดเจ็บและไม่ใช่แกนนำม็อบ


ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า
หลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐบาลส่งกำลังทหารเข้ากระชับ พื้นที่การชุมนุมของกลุ่มนปช.ที่ราชประสงค์
จนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 90 ราย และบาดเจ็บอีกนับพันคนนั้น
มีรายงานของศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) ระบุว่า
ล่าสุดยังมีผู้บาดเจ็บจาก เหตุการณ์ดังกล่าว รักษาตัวตามโรงพยาบาล 12 แห่ง จำนวน 26 คน

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบที่โรงพยาบาลตำรวจ พบผู้บาดเจ็บ 2 คน คือ
นาย จรัญ ลอยพูล อายุ 39 ปี และนายณัฐพล ทองคุณ อายุ 20 ปี ทั้งสองคนเป็นคนกรุงเทพฯ
ถูกยิงได้รับบาดเจ็บในช่วงทหารกระชับวงล้อมแยก ราชประสงค์
โดยนายณัฐพลถูกยิงที่หน้าสน.ลุม พินี วันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ถูกยิงตามร่างกาย 3 นัด
นัดแรกเป็นกระสุนปืนลูกซองที่หัวไหล่ ซ้าย นัดที่ 2 โดนกระสุนปืนเอ็ม 16 ทะลุมือซ้าย
และนัดที่ 3 โดนกระสุนปืนลูกซองที่ต้นขาซ้าย

ส่วนนายจรัล ถูกยิงบาดเจ็บที่แยกประตูน้ำ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ถูกยิงตามร่างกาย 2 นัด
นัด แรกกระสุนปืนลูกซองเจาะฝังในขาซ้าย และนัดที่สองกระสุนปืนเอ็ม 16 เจาะข้อมือจนทะลุ



นายณัฐพลเล่าว่า ในวันเกิดเหตุเป็นช่วงเที่ยงวันที่ 14 พ.ค. ตนกับเพื่อนขับรถจักรยานยนต์จากถนนเพชรบุรี
จะไปหาเพื่อนอีกคนที่ย่าน สาทร เมื่อมาถึงหน้าสน.ลุมพินี มีกลุ่มผู้ชุมนุมเผารถบัสของตำรวจบนถนนวิทยุ
จึงหยุดดู ตอนนั้นมีทั้งผู้ชุมนุมและชาวบ้านประมาณเกือบ 100 คน
ต่อ มากลุ่มผู้ชุมนุมจุดตะไลไฟเข้าหากลุ่มทหาร ทหารจึงยิงปืนชุดแรกเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่ตนไม่เป็นอะไร
แต่ถัดมาไม่กี่ นาที ทหารได้ยิงปืนชุดที่สองเข้ามาอีก ทำให้ตนโดนกระสุนปืนลูกซองนัดแรกเข้าที่หัวไหล่
และนัดที่สองเป็นกระสุน ปืนเอ็ม 16 เข้าที่มือซ้าย ทำให้กระดูกนิ้วนาง นิ้วกลางและนิ้วชี้ขาด
ตน พยายามจะลุกให้คนช่วย แต่ก็ถูกยิงด้วยปืนลูกซองเข้าที่ต้นขาซ้ายอีกนัด
และ ในที่สุด ผู้ชุมนุมก็สามารถนำตัวมาส่งโรงพยาบาลตำรวจได้

นายณัฐพล กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นหนึ่งวัน ตนฟื้นตัวจากการผ่าตัด มีตำรวจมาสอบสวน
และ แจ้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงถูกย้ายจากเตียงผู้ป่วยธรรมดา มาไว้ในห้องผู้ป่วยที่เป็นผู้ต้องหากับผู้ชุมนุม
ที่บาดเจ็บอีกคน และถูกล่ามโซ่ติดกับเตียง มีตำรวจเฝ้าด้านหน้าอย่างแน่นหนา

"ผมนอน โรงพยาบาล ลงจากเตียงก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ลึกๆ เสียใจ
เพราะขับรถมา กับเพื่อนดีๆ โดนยิง โดนจับ โดนข้อหา ต้องขึ้นศาล ญาติมาเยี่ยมได้เป็นเวลา" นายณัฐพลกล่าว
และว่า ก่อนหน้านี้เคยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.ประมาณ 2-3 ครั้ง

ส่วนนายจรัล กล่าวว่า วันเกิดเหตุ 19 พ.ค. ช่วงบ่าย ตนเดินไปเดินมาบริเวณแยกประตูน้ำ
เห็นทหารเดินมากลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 นาย ห่างจากตนประมาณ 20 เมตร ด้วยความกลัวตนจึงวิ่งหนี
แต่ก็ถูกทหาร กลุ่มดังกล่าวใช้ปืนลูกซองและปืนเอ็ม 16 ยิงเข้าใส่เป็นชุด ชุดละ 5-6 นัด

"ตอน นั้นรู้สึกขาซ้ายขัดๆ วิ่งไม่ได้ สะดุดล้มลง จึงรู้ว่าถูกยิงที่ขา แต่เป็นกระสุนปืนลูกซอง
พอลุกขึ้นวิ่งใหม่ ก็ถูกทหารยิงอีก เป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 โดนเข้าที่มือขวา
ทำให้เนื้อแขนขวาหายไป และโดนเส้นประสาทด้วย ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้หายเป็นปกติ" นายจรัลกล่าว

นาย จรัลกล่าวด้วยว่า ตอนนี้กังวลใจมากที่สุด
เพราะถูกตำรวจตั้งข้อหาละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องถูกล่ามโซ่ไว้กับเตียงของโรงพยาบาล
และมีตำรวจควบคุม ตัวอย่างแน่นหนา โดยก่อนหน้านี้ ตนประกอบอาชีพขายเสื้อผ้าอยู่ที่ประตูน้ำ
เมื่อ ว่างเว้นจากงานจะมาฟังการปราศรัยของนปช.ที่แยกราชประสงค์ แต่ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขนาดนี้

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บท วิเคราะห์: คิดวิปริต ปิดประเทศ

บทความนี้เป็นผลงานของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เตรียมจะตีพิมพ์ใน Voice of Taksin ฉบับที่ 21 ก่อนที่จะถูกคำสั่งเผด็จการของศอฉ.สั่งปิดไม่ให้ตีพิมพ์จำหน่าย
การ ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมตามคำสั่งของผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล อภิสิทธิ์-สุเทพ อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดที่เริ่มจากวิกฤตเมษาเลือด 10 เมษายน 2553 มาจนถึง 19 พฤษภาคมนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะจบลงอย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่เฉพาะอยู่ในหัวใจอันงุนงงของคนไทยแต่เป็นคำถามที่อยู่ใน หัวใจอันงุนงงของคนทั้งโลกเพราะเป็นภาวะวิปริตทางการเมืองของประเทศในศตวรรษ ที่ 21 ที่กำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างประเทศด้อยพัฒนากับประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือเส้นแบ่งระหว่างประเทศที่มีฐานการผลิตเพื่อพออยู่พอกินกับประเทศที่มี ฐานการผลิตเพื่อการตลาด แต่แล้วประเทศไทยกลับถูกฉุดกระชากให้ถอยหลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตสงครามกลาง เมืองในรูปแบบของประเทศด้อยพัฒนาที่ทำการผลิตเพียงเพื่อพอกิน ปัญหาทั้งหมดมีคำตอบจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยแบบพอเพียง ที่มีกระบวนทัศน์ (Paradigm) แปลกประหลาดจากโลกแห่งยุคไซเบอร์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลวางแผนมาแต่ต้น แล้วคือ “ปราบและปิดประเทศ”

โลกแห่งอำนาจต้องคงที่ : วิถีคิดแนวจารีตนิยม
กระบวนทัศน์แห่งอำนาจของระบอบอำมาตย์ ที่มีแนวคิดการเมืองแนวจารีตนิยมคือไม่ยอมรับพัฒนาการของการเมืองในระบบโลก แห่งยุคแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ถนนทุกสายมุ่งสู่การรวมศูนย์อำนาจที่มหาชนใน ฐานะผู้บริโภคและแนวคิดจารีตนิยมทางการเมืองนี้ได้กลายเป็นรากเหง้าปัญหาของ ประเทศไทยในวันนี้ โดยลักษณะแนวคิดจะเห็นได้จากชนชั้นนำจะดูถูกสามัญชนคนรากหญ้าว่า “โง่ และไม่มีความเข้าใจประชาธิปไตย” และมองระบอบประชาธิปไตยว่า “เป็นระบอบที่เลวร้ายไร้คุณธรรม” แต่พวกเขาไม่อาจจะฝ่าฝืนกระแสโลกได้จึงวางแนวพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลาครึ่ง ศตวรรษ ให้อยู่ในแนวทางที่นักวิชาการแอนดรู วอล์คเกอร์ (Andrew Walker) จากออสเตรเลียให้นิยามว่าเป็น “ประชาธิปไตยพอเพียง” แต่นักวิชาการไทยใช้คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ” คือประชาธิปไตยสลับการรัฐประหารโดยเฉพาะเมื่อระบอบประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่า เริ่มมั่นคงขึ้นทุกครั้งก็จะเกิดการรัฐประหารตามมาเป็นสูตรที่คอการเมืองไทย สามารถทำนายได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงนักวิชาการเพราะเป็นเสมือนชีวิตประจำวันของ การเมืองไทยจนชาชิน และนั่นคือวิถีคิดการเมืองแนวจารีตนิยมที่เชื่อมั่น การปกครองแบบจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อๆกันมาโดยเน้นคุณธรรมทางจิตใจ มากกว่าปากท้องและการกินดีอยู่ดีของประชาชน

ลงทุนชีวิตมนุษย์ เพื่อรักษาอำนาจ
วิถีคิดแนวจารีตนิยมของระบอบ อำมาตย์คิดว่าโลกนี้ปั้นได้ดังใจนึกด้วยดินน้ำมัน ด้วยเพราะไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม

ความพยายามที่จะสร้างอำนาจด้วยระบอบประชาธิปไตยแห่งคุณธรรมตามโมเดลแนวคิด จารีตนิยมนี้ จึงก่อกำเนิดขึ้นจากแนวคิดข้างต้น แม้จำเป็นจะต้องลงทุนด้วยชีวิตของมนุษย์ก็ยอม ดังนั้นในอดีตจึงเกิดการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุด ดังเช่นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การบริหารจัดการของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี) โดยประกาศปิดประเทศ 12 ปี เพื่อจะใช้เวลา 12 ปีนั้น ปั้นเยาวชนให้มีอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดังใจนึก และในขณะเดียวกันก็ประกาศกวาดล้าง นักเรียน นักศึกษา ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งที่อยู่ในเมืองและหนีไปอยู่ในป่า ติดอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างถึงที่สุด จึงทำให้สถานการณ์สงครามประชาชนที่มีเชื้อไฟอยู่ในขณะนั้นปะทุรุนแรงขึ้น ทั่วประเทศ แต่แล้วแนวคิดปิดประเทศก็พังทลายลงด้วยการนำของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงเป็นที่ไม่พอใจของอำมาตย์แต่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ แล้วสถานการณ์สงครามประชาชนก็คลี่คลายลงเป็นลำดับด้วยนโยบายสมานฉันท์โดยพล เอกเกรียงศักดิ์ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักเรียนนักศึกษาทั้งหมดและให้ กลับคืนสู่ห้องเรียนได้ แล้วสังคมก็กลับสู่ความปรองดองเกิดพัฒนาการทางสังคมก้าวหน้าขึ้นต่อไป แต่เมื่อพัฒนาไปได้อีกระยะหนึ่งแนวคิดจารีตนิยมของระบอบอำมาตย์ก็หวาดวิตก ต่อวิวัฒนาการที่ทำให้สังคมขยายใหญ่โตขึ้นอีก จึงตัดสินใจเข้าขัดขวางพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ปรากฏหลักฐานชัดคือการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างใจคิด ด้วยเพราะโลกได้พัฒนาก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่ประชาชนหูตาสว่างยากที่จะครอบงำความคิดโดยง่าย จึงนำมาซึ่งวิกฤตประเทศ แล้วแนวคิดปิดประเทศเพื่อรักษาระบอบอำมาตย์ก็ยิ่งมีเหตุผลรองรับมากขึ้น

การล้อมปราบสังหารประชาชนตั้งแต่ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจึงมิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศใน ภาวการณ์พิเศษที่คนทั่วโลกรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น (แต่คนไทยถูกปิดตา ไม่ให้รู้เห็น) ดังนั้นเป้าหมายการกวาดล้างระบอบทักษิณหรือแนวคิดใหม่ในการพัฒนาประเทศจึง ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบมิใช่อุบัติเหตุ ด้วยเพราะแนวคิดของระบอบทักษิณได้แสดงออกชัดเจนนับแต่การถูกรัฐประหารว่าไม่ สยบยอม, ด้วยเหตุนี้ข้อสรุปว่าต้อง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” จึงเกิดขึ้น

เสื้อแดงยิ่งเติบใหญ่ยิ่งต้องกำจัด

“แม้ ผมตายผมก็ยังจะตามหาความยุติธรรม” คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้างต้น ยังก้องดังในโสตประสาทของระบอบอำมาตย์ให้เคียดแค้นและอาฆาต พ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดข้อสรุปที่จะต้องกำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน เพราะในอดีตไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนไหนที่ถูกรัฐประหารแล้วจะกล้าโงหัวขึ้นมา กล่าวเช่นนี้

การยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน การก่อจลาจลยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิประสานกับการใช้องค์กรศาลภายใต้นโยบาย “ตุลาการภิวัฒน์” ล้มรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือรูปธรรมยืนยันถึงข้อสรุปของระบอบอำมาตย์ที่จะต้อง “กำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน” ข้างต้น

การเติบใหญ่ ของขบวนการคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่เป็นธรรมทางสังคมการเมืองของระบอบ อำมาตย์ที่ใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน จึงเกิดการขยายตัวทั่วประเทศ แต่แทนที่ระบอบอำมาตย์จะรู้สำนึกตัวเองถึงความชำรุดบกพร่องของระบอบของตนก็ กลับตีความว่าเป็นผลมาจากเงินทักษิณที่อัดฉีดยุยง และการล้อมปราบฆ่าคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อ 12-13 เมษายน 2552 ซึ่งแทนที่คนเสื้อแดงจะหวาดกลัวและหยุดเคลื่อนไหวแต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นคนเสื้อแดงยิ่งขยายตัวทั้งประเทศ จนถึงขั้นเกิดการชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา ยิ่งเป็นผลให้ข้อสรุปของอำมาตย์ที่พร้อมจะฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงอย่างโหดร้าย ในฐานะ “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” และพร้อมจะปิดประเทศ จึงเกิดขึ้นอย่างสิ้นสงสัยในเหตุการณ์ล้อมปราบจาก 10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553 และการไล่ปราบปรามตามจับในขณะนี้

แผนเผด็จศึกเสื้อแดงเกิด ก่อนการชุมนุม หากใครได้ติดตามข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์และบทวิเคราะห์ต่างๆ ในช่วงตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2553 นี้ ข่าวจะกระชั้นถี่ขึ้นถึงแนวคิดของมหาอำมาตย์ว่า จะมีการจัดการประเทศใหม่ แม้จะมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นแสนก็ยอม แม้จะปิดประเทศก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร โดยเปรียบเทียบกับการดำรงอยู่ของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า

รูปธรรม ที่เป็นเชื้อมูลของความคิดนี้ที่เล็ดรอดออกมายืนยันได้จากคนใกล้ชิดของมหา อำมาตย์ เช่น การนำเสนอแนวคิดการเมืองใหม่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 2551 ที่เสนอโครงสร้างอำนาจหลักที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งคือระบบ 70:30 และคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คนใกล้ชิดพลเอกเปรมตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน “โลกวันนี้” วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า
“ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการสังคายนาและปฏิรูปประเทศไทยใหม่ โดยต้องหยุดปัญหาที่วุ่นวายไว้สักระยะหนึ่งเพราะกลไกของเราใช้ไม่ได้ อย่ามาพูดว่าสภาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเพราะที่มาของ ส.ส.ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ขอย้ำว่าต้องมีการปฏิวัติจริงๆ ไม่ใช่จอมปลอม ต้องไม่ให้เหมือนกับการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่เป็นการปฏิวัติที่ใช้ไม่ได้”

รูปธรรมที่ยืนยันความคิดนี้เกิดจากปฏิบัติการจริงแล้วคือการล้อมปราบฆ่า ประชาชนที่มาเรียกร้องการยุบสภาเมื่อ 10 เมษายน 2553 ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าที่ไพเราะว่า “ขอคืนพื้นที่” และการล้อมยิงประชาชนเหมือนล่าสัตว์ที่เริ่มต้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2553 ประเดิมด้วยพลแม่นผืนสังหาร “เสธแดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และติดตามมาด้วยการ “เล็งเป้าฆ่า” ตลอดสัปดาห์อย่างเมามัน ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าใหม่ที่ไพเราะกว่าเก่าว่า “กระชับพื้นที่”

หากเรานำข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมต่อก็จะพบความจริงว่าการล้อมปราบ ประชาชนอย่างโหดร้ายมิใช่ความจงใจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการจะยุติการชุมนุมตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” และสิ่งที่จะต้องติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการปิดประเทศ

ลำดับ เหตุการณ์ก่อนเกิดเมษา-พฤษภาเลือด 1. 26 กุมภาพันธ์ 2553 ลั่นระฆัง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” ด้วยคำพิพากษายึดทรัพย์ทักษิณและตามมาด้วยการเตรียมปราบการชุมนุมของคนเสื้อ แดงที่จะเริ่มต้น 12 มีนาคม 2553

2. เริ่มต้นประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงนำทหารในสายอำนาจของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบกที่ถูกกำหนดตัวให้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ออกมาทำหน้าที่แทนตำรวจ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่แกนนำ นปช.ประกาศเริ่มต้นการชุมนุม ทั้งๆที่ในต่างประเทศการควบคุมฝูงชนจะเริ่มต้นจากการใช้ตำรวจ

3. พฤติกรรมผิดสังเกตของทหาร ทหารที่ออกมามีอาวุธสงครามครบมือเตรียมปราบปรามโดยปิดบังหน่วยต้นสังกัดทั้ง หมดทั้งที่เครื่องแบบประจำตัวและยานพาหนะพร้อมทั้งปิดทะเบียนรถที่ขนส่งทหาร ออกมาประจำตามถนนและด่านตรวจต่างๆ ทั้งหมด

4. สร้างข่าวเตรียมสังหารคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรมด้วยการตั้งข้อหา “ขบวนการล้มเจ้า” โดยเริ่มต้นจากการเปิดวาทะกรรมปลุกระดมจากกลุ่มพันธมิตรก่อนเมื่อปลายปี 2552 ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV ว่า “ล้มเจ้า” ซึ่งสอดรับกับการปลุกระดมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในโทรทัศน์ช่อง 11 และการประกาศอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข่าวโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในนาม ศอฉ. นับจาก 7 เมษายน 2553

5. ประกาศเขตรอบโรงพยาบาลศิริราชเป็นพื้นที่ปลอดแดงเด็ดขาด และห้ามการเดินทางไปถวายพระพรของพสกนิกรโดยเด็ดขาดก่อนจะเริ่มต้นการชุมนุม ด้วยเช่นกัน โดยมีนัยยะสำคัญทางการข่าวจิตวิทยาว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ไม่จงรักภักดีเพื่อ โน้มน้าวให้สารธารณชนสนับสนุนแผนการฆ่าคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรม

6. อภิสิทธิ์-สุเทพ เล่นละครตอบรับยุบสภาอย่างเสียไม่ได้ ตลอดระยะเวลาเริ่มต้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 12 มีนาคม เรียกร้องให้มีการยุบสภานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ(ผู้บัญชาการรบที่รับคำสั่ง จากมหาอำมาตย์)ไม่เคยแสดงท่าทีตอบรับหรือเพียงแค่รับพิจารณาว่าจะยุบสภาเลย การเจรจาของรัฐบาลเรื่องการยุบสภา 2 ครั้ง กับแกนนำ นปช.จึงเป็นเพียงฉากละครมีนายสุเทพผู้อยู่เบื้องหลังเชิดนายอภิสิทธิ์ในฐานะ นายกฯ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ ในฐานะเลขานายกฯ และนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ อดีตคอมมิวนิสต์เก่าผู้มีประสบการณ์งานมวลชนขึ้นเล่นละครอย่างเสียไม่ได้ เท่านั้น และเมื่อการเจรจาล้มเหลวนายสุเทพ ก็แสดงความดีอกดีใจและยั่วยุด้วยถ้อยคำว่า “เมื่อไม่มีการเจรจารัฐบาลก็จะอยู่จนครบอายุ 1 ปี กับอีก 9 เดือน”

7. สร้างเงื่อนไขประกาศภาวะฉุกเฉิน อภิสิทธิ์-สุเทพ ได้วางแผน “ใช้ขนมหวานล่อมด” โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ประกาศจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภาในวันพุธที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งตรงกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยั่วยุให้คนเสื้อแดงปิดล้อมสภาเช่น เดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยทำเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ทั้งๆที่รู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องตามมาประท้วงนายอภิสิทธิ์อย่างแน่นอน เพราะสภาอยู่ใกล้กับการชุมนุมคนเสื้อแดง(ขณะนั้นอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า) และเป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ก็ใช้กรมทหารราบที่ 11 และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ห่างไกลการชุมนุมเป็นที่ประชุม ค.ร.ม.มาโดยตลอดแต่อยู่ๆก็อยากจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภา แล้วทุกอย่างก็เข้าแผนการร้ายนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่านายอภิสิทธิ์แถลงข่าวถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ พรก..ฉุกเฉิน จากเหตุการณ์บุกสภา แต่ในประกาศกลับไม่กล่าวอ้างเหตุการณ์การบุกสภาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร คงจะเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์รู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องการบุกสภาของคนเสื้อแดง นั้นยังขาดเหตุขาดผลอยู่

รูปธรรมการถอนรากถอนโคนทักษิณเหตุการณ์ ใช้หน่วยสแนปเปอร์ลอบยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงในหัวค่ำของคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นการจุดพลุส่องสว่างให้เห็นถึงความแค้นของระบอบอำมาตย์อันไม่อาจจะปกปิด ได้อีกแล้ว นับแต่นั้นทหารหน่วยพลแม่นปืนที่เป็นกองกำลังหน่วยสำคัญของพลเอก สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นคู่อาฆาตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อนก็เปิดฉากไล่ยิงประชาชนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายและ พวกล้มเจ้าเป็นผลให้ประชาชนผู้สุจริตบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ล่วงแล้วตามมา ด้วยการล้อมฆ่าปิดท้ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม เขตอภัยทาน ด้วยเข้าใจว่าผู้ก่อการร้ายหนีเข้าไปในวัด จนสตรีที่เป็นอาสาสมัครพยาบาล นางกมนเกด อัคฮาด เสียชีวิต และการติดตามจับบุคคลที่รัฐบาลอภิสิทธิ์หมายหัวทำบัญชีไว้ว่า “ฮาร์ดคอร์” ของทักษิณก็ตามมา รวมทั้งการประกาศควบคุมบัญชีเงินธนาคารของประชาชนอีกจำนวนมากรวมทั้งควบคุม เงินของนักหนังสือพิมพ์อย่างนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บก. VOICE OF TAKSIN รวมทั้งการออกไล่ล่าปิดหนังสือพิมพ์ของฝ่ายเสื้อแดง และจับนายสมยศและ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาคประวัติศาสตร์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง

ความรุนแรงเกินคาดแต่ ไม่เกินแผน สิ่งที่ระบอบอำมาตย์คาดไม่ถึงว่าประชาชนคนรากหญ้าจะมีจิตสำนึกทาง ประชาธิปไตย และเข้าใจกลไกธุรกิจของอำมาตย์มากขึ้น จนถึงขั้นกล้าต่อสู้กับพวกเขาอย่างถึงที่สุด นั่นคือรูปธรรมที่เป็นจริง เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่มีทั้งเด็กผู้หญิง และคนแก่บริเวณหน้าเวทีที่ราชประสงค์ แต่ประชาชนกลับประกาศสู้ตายและเสียใจร้องไห้ที่แกนนำยอมจำนนแล้วนับจากนั้น พวกเขาที่ไร้จัดตั้งก็กระจายกันโจมตีเผาสถานที่ทางการค้าต่างๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นของพวกอำมาตย์หรือที่เหล่าอำมาตย์ใช้อภิสิทธิ์ทางการ เมืองคุ้มครองธุรกิจให้ รวมทั้งฝ่ายอำมาตย์ก็สวมรอยหนุนการเผาด้วยเพื่อจะได้เกิดความชอบธรรมในการ ไล่ฆ่าพวกเสื้อแดง เช่น ศูนย์การค้าสยาม ศูนย์การค้าเวิร์ลเทรด ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ และไม่เว้นแม้แต่ตึกโทรทัศน์ช่อง 3 ที่เป็นตัวแทนของสื่อที่สนับสนุนระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐาน ก็ไหม้เป็นจุล และการก่อจลาจลได้กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพ และทั่วประเทศ ศาลากลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐอำมาตย์จึงเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตี ซึ่งสภาพความรุนแรงและมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน เมืองไทย

เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกินความคาดหมาย แต่ไม่เกินแผนของอำมาตย์ที่ประเมินไว้
ปิดประเทศ เป็นความชอบธรรม ทางออกของสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว คือการประกาศปิดประเทศอย่างเป็นทางการ เพราะโดยเนื้อแท้ของสถานการณ์วันนี้คือการปิดประเทศแล้ว

การ ประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม อย่างเชียงใหม่ และอุดรธานี เป็นต้นรวมเกือบครึ่งประเทศรวมทั้งการปิดเว็บไซด์ และการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะการปิดวิทยุชุมชนเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของรูปธรรมการปิดประเทศ และเป็นรูปธรรมที่บ่งบอกว่าจะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเวลาสำคัญที่สุดของการผลัดเปลี่ยนอำนาจของรัฐไทยใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว การปิดประเทศเพื่อควบคุมความเป็นเอกภาพแบบโบราณ คือ เอกภาพแห่งอำนาจ เอกภาพแห่งความเงียบสงบ จะต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับเหตุการณ์สำคัญ

เอกภาพ แห่งอำนาจ และเอกภาพแห่งความเงียบสงบจะมาในรูปแบบการรัฐประหารแนวใหม่ แต่เนื้อหาแนวเดิม

ถ้อยคำที่เรียกขานอำนาจใหม่ก็จะ ไพเราะไม่แพ้คำว่า “กระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่” เช่น สภาสมานฉันท์แห่งชาติ เป็นต้น

ภาพการปิดประเทศจะยิ่ง เด่นชัดขึ้นเมื่อใกล้เดือนกันยายน และยิ่งๆเด่นชัดเมื่อเห็นภาพผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ที่มีนามว่า “ป” ปลาตาขวาง ขึ้นแทน “ป” ป๊อกไม่ปฏิวัติ

สื่อเล็กๆ อย่าง VOT ขอพยากรณ์ฟันธงตามคำขวัญของเราที่ว่า “อ่านคุณภาพใหม่ที่สื่อใหญ่ไม่กล้าตีพิมพ์”
ปิดประเทศเป็นความจำเป็นและความชอบธรรมที่ระบอบอำมาตย์ประเมินไว้เป็นจริง แล้ว

"เจออีกแล้ว" ทหารส่งอาหารของ"ไก่อู่" กำลังช่วยกันซ้อมผู้ก่อการร้าย

ชัดเจนความขลาดของทหารไทย รังแกคนมือเปล่า พอเจอเขมรทหารไทยวิ่งหางจุกตูด

บทเรียนเลือด...พฤษภา 53

อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ สรุปความเป็น “ที่สุด” ของเหตุการณ์เลือดพฤษภา 2553

มุมมอง อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ สรุปความเป็น “ที่สุด” ของเหตุการณ์เลือดพฤษภา 2553 เช่น มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด รัฐบาลใช้กำลังปราบปรามมากที่สุด และผู้ชุมนุมตอบโต้รัฐรุนแรงที่สุด

บทเรียนจาก เหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองครั้งล่าสุด ทำให้นักวิชาการอิสระท่านนี้เสนอให้รัฐบาลทบทวนการใช้พระราชกำหนดบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และขอรัฐบาลปรับทัศนคติต่อคนเสื้อแดง ไม่มองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง พร้อมกับเสนอให้กลุ่มคนเสื้อแดงยืนหยัดในแนวทางการต่อสู้เรียกร้องตามวิถี ทางประชาธิปไตย




วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

twiter นายกทักษิณ วันนี้(09/06/53)

วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ฯครบ๖๔ปี

ผมหวังว่ารัฐบาลคงจะจัดงานถวายอย่างสมพระเกียรตินะครับ

ผมจำได้ว่าเมื่อ๔ปีที่แล้วผมจัดถวายอย่างสมพระเกียรติในนามรัฐบาลไทยรัก ไทยและประชาชน

ผมนำเปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"๓ครั้งถวายด้วยความภูมิใจที่สนามหน้าพระที่ นั่งอนันต์ฯพร้อมด้วยประชาชนที่มาเฝ้าฯนับล้านคน

แต่พอทหารปฏิวัติก็ดูดเอาเสียงผมออกเก็บความจงรักภักดีไว้คนเดียวพร้อม การกล่าวหาว่าผมไม่จงรักภักดี

จันทร์ที่ผ่านมาอนุพงษ์ประชุมนายทหารหน่วยขึ้นตรง

ได้กล่าวหาว่าผมไม่จงรักภักดีเลยนำไปสู่การปราบประชาชน

ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นตท.๑๐ด้วยกัน

เมื่อมีนายทหารถามว่าทำไมต้องเป็นทหารที่ต้องไปปราบประชาชนทำไมตอนเสื้อ เหลืองทหารไม่ปราบ

อนุพงษ์บอกว่ารัฐบาลก่อน(สมัคร,สมชาย)ใช้ตำรวจไม่ใช้ทหาร

ฟังแล้วเป็นไง

ต้องตอบว่าโถป๊อกเอ๋ยเอ็งมันนักเรียนท้ายแถวเพิ่งเป็นนายพลตอนผมเป็น นายกฯ

เป็นปีเดียวก็ถูกประยุทธวิ่งเตะ ผมต้องอุ้มหนีมาเป็นผบ.พล๑

เอ็งจะมาจงรักภักดีกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างไรเรียนมาด้วยกันวิ่งไปตระ โกน"ชาติ ศาสนา พระมหา

กษัตริย์"ไปด้วยกัน ปฏิญาณตนด้วยกันทุกวันก่อนเข้าเรียน

พูดได้อย่างไรว่ารัฐบาลสมัคร,สมชายไม่ใช้ทหาร คุณสมัครเขาตั้งเอ็งเป็นประธานตอนประกาศพรก.เอ็งก็มีแต่ประชุมรำวงไม่ทำอะไร

ตอนสมชายเอ็งชวนไอ้ตุ้ยไอ้ธรและทอ.ตร.ใส่คอแบะออกมาบอกให้นายกฯลาออกทั้ง ที่การสลายม๊อบเป็นไปตามหลักสากล

แล้ววันนี้เอ็งให้ทหารยิงประชาชนด้วsniperหัวแบะปล่อยให้มีการเผา

ทหารไม่ยอมให้รถดับเพลิงเข้าไปดับแล้วจับใครก็ไม่ได้จับแต่ชาวบ้านที่มา ร่วมชุมนุม

สรุปอย่าผูกขาดความจงรักภักดี

พระเจ้าอยู่หัวฯเป็นของคนไทยทุกคน

ทำหน้าที่ให้ดีมีก่อนเกษียณเก็บเงินที่แดงช่วยหาไว้ใช้ปั้นปลายชีวิตให้ มีความสุขเถอะอย่าทำบาปต่อเลย
แค่ร่วมฆ่าประชาชนกับอภิสิทธิ์สุเทพก็หนักแล้ว

วันนี้บางคนอาจคิดว่าผมโมโหอะไรมา ไม่ได้โมโหผมใช้คำพูดจากเพื่อนถึงเพื่อน

ความจริงผมรู้มาทันทีที่ประชุมจบเพราะผู้เข้าร่วมประชุมเขาไม่พอใจโทรมา

กฎหมา(ย)นิติรัฐยัดข้อหา?นิติธรรมอำมหิต?



“ผมมองทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม หลายวันที่ผ่านมา ผมมองทหารอย่างมีสติ มองทหารอย่างเข้าใจ มองคนตายอย่างมีสติ ทุกคืนผมจุดธูปว่า อย่าให้ใครเสียชีวิตกันเลยในแต่ละวันที่มีคนปลุกระดมว่าผมพาคนไปตาย แล้วใครฆ่าตายล่ะ พวกผมพามาแล้วให้พวกท่านฆ่าอย่างนั้นหรือ การออกเฉพาะข่าวรัฐบาลด้านเดียว ระวังจะเป็นเหมือนรวันดา วันนี้เช้ามาก็บอกว่า คนเสื้อแดงก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง กลางวันก็ก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง เย็นก็บอกก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง ในสมองของทหารถูกยัดเยียด ทั้งที่คนที่มาชุมนุมเรียกร้อง เขาเพียงแค่มาชุมนุมเพื่อยุบสภา ขอหีบเลือกตั้ง แต่เขาก็ให้หีบศพ”

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จากการสั่งให้ทหารล้อมปราบคนเสื้อแดง ทั้งยังกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และล้มสถาบันอีก ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแล้ว แต่กลับปรากฏภาพ “ไอ้โม่งชุดดำ” ขึ้นมาจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน (ศอฉ.) ใช้ปลุกระดมว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนฆ่าทหารและประชาชน และถ้า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นพวกคนเสื้อแดง แล้วใครฆ่าประชาชน

“ชายชุดดำจะเป็นใครก็ตาม มีถ่ายภาพให้เห็นประมาณ 4 คน แต่คนบาดเจ็บ 800 กว่าคน ตายอีก 28 ในวันที่ 10 เม.ย. ท่านเชื่อหรือ มีคนชุดดำ 4 คน ที่สังหารประชาชนและทหาร ชายชุดดำจะเป็นใครก็ตาม นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ ต้องจับกุม รวมถึงคนลั่นกระสุนปืนใส่ประชาชน ความจริงวันนั้น ถ้านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพหยุดการเข่นฆ่าประชาชน ชายชุดดำมันจะโผล่มาได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่หรือ ที่ตำหนิรัฐบาลสมชายที่ทำให้มีคนเสียชีวิต และยังยกย่องสารวัตรจ๊าบว่า เป็นประชาชนอันอาจหาญ เหมือนนายสุเทพบอกว่า คนที่เสียชีวิตมีชาวพม่า แล้วไม่บอกมีชาวแคนาดา ญี่ปุ่น อิตาลี เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน”

ปรองดองด้วย “เลือด”?

ขณะที่นายสุเทพยืนยันเสียงแข็งเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน แต่กลับอ้างว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” มีความสัมพันธ์กับหัวหน้าใหญ่ที่ออกทุนและปฏิบัติการคู่ขนาน กับประชาชนที่บริสุทธิ์

“เจ้าหน้าที่ของรัฐ นายกฯ และผม ไม่ได้สร้างสถานการณ์เพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง พวกผมไม่ใจบาปหยาบช้า ลงทุนเผาบ้านเมืองให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง คนใจดำอำมหิตที่ทำได้ คือผู้ก่อการร้ายที่อยู่กับพวกคุณ เป้าหมายมีอย่างเดียว คือนายกฯและผม สั่งทหารฆ่าประชาชน ผมจะทำไปทำไม ทหารที่มาปฏิบัติภารกิจ 30,000-40,000 คนเป็นลูกชาวบ้านเหมือนกับเรา เขามีหัวใจรักพ่อแม่ รักญาติ คิดหรือว่า ถ้าพวกผมไปสั่ง ผบ.ทบ. แล้ว จะฟังคำสั่งพวกผม”

เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ที่วันนี้ ยังเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบกับ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการใช้กำลังทหารปราบล้อมคนเสื้อแดง โดยยืนยันว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ฆ่าประชาชนและทหาร ทั้งที่รัฐบาลมีความจริงใจที่จะหาแนวทางแก้ปัญหา ให้คลี่คลายอย่างสันติตั้งแต่ต้น

“อุปสรรคคือการชุมนุม เมื่อเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญ สร้างความเสียหายให้แก่คนจำนวนไม่น้อย และมีกองกำลังติดอาวุธ วินาศกรรม การดำเนินการจึงยากเป็นพิเศษ แต่รัฐบาลก็พยายามทำให้เกิดความ เสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินน้อยที่สุด และเลือกชีวิตสำคัญกว่า เช่น วันที่ 19 พฤษภาคม”

คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงเห็นได้ชัดเจนว่า ทำไมจึงไม่แสดงความรับผิดชอบกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่กลับมองว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย และมีกองกำลังติดอาวุธที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งสวนทางกับแผนปรองดองที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ยังคงเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกันยังคงใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่า คนเสื้อแดง และฉวยโอกาสกวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม

มือถือสาก ปากถือศีล?

รัฐบาลจริงใจที่จะสร้างความปรองดองหรือไม่ ก็ดูได้จาก ศอฉ. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งอธิบดีดีเอสไอเป็นกรรมการ ศอฉ. ด้วย และยังคงออกหมายจับบุคคลต่างๆ ในข้อหาผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบันไปกว่า 100 คนแล้ว ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง นักการเมือง และนักธุรกิจเท่านั้น

แม้แต่นักวิชาการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนคนเสื้อแดง ก็กลายเป็นผู้ต้องหาไปด้วย อย่างนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลว่า คุกคามเสรีภาพทางวิชาการ

โดยเฉพาะกรณีนายสุธาชัย ที่ไปมอบตัวและถูกควบคุมตัวไว้ถึง 7 วัน ทั้งที่พ่อภรรยาของนายสุธาชัยเพิ่งเสียชีวิต ซึ่งนายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ เตือนรัฐบาลที่อ้าง พ.ร.ก.ฉุก เฉิน ด้วยการใช้อำนาจลักษณะครอบจักรวาลนั้น เป็นการกระทำที่สวนทางกับการสร้างบรรยากาศปรองดอง ซึ่งเหมือนการตบหน้านายอภิสิทธิ์ที่กล่าวว่า รัฐบาลไม่มองคนที่มีความเห็นต่างกันเป็นศัตรูทางการเมือง ไม่ได้ไล่ล่าและกวาดล้าง ทั้งที่ในข้อเท็จจริงยังคงให้ ศอฉ. และดีเอสไอ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กล่าวหาและจับกุมบุคคลต่างๆ ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล

แม้แต่ผู้เสียชีวิต ก็ไม่มีการเปิดเผยการชันสูตรพลิกศพให้ประชาชนทราบ อย่างที่นายจตุพรระบุว่า รัฐบาลและ ศอฉ. ต้องการบิดเบือนคดีคนตาย โดยโยนไปให้ดีเอสไอ โดยไม่มีการไต่สวนในศาลชั้นต้น แม้แต่กรณี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. หรือทหารเกณฑ์ที่ถูกยิงตายที่สะพานวันชาติ ก็ไม่เปิดเผยการชันสูตรพลิกศพว่า เสียชีวิตเพราะอะไร หรือการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นเตอร์วัน และสถานที่ต่างๆ ก็ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เลย

โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตภาย ในวัดปทุมวนารามจำนวน 6 ศพเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ทั้งที่เป็นเขตอภัยทาน และมีพยานยืนยันว่าทหารเป็นคนยิง ยังเป็นปริศนาว่ากลุ่มคนติดอาวุธบนสถานีรถไฟฟ้าในช่วงเกิดเหตุจลาจลเป็นใคร ซึ่งการชันสูตรพลิกศพระบุชัดเจนว่าทุกคนถูกยิง โดยเฉพาะ น.ส. กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี ถูกยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง
พ.ร.ก.ฉกฉวย?

แม้วันนี้นายอภิสิทธิ์จะยังเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในความรู้สึกของคนไทยหลายสิบล้านคน และหลายประเทศในประชาคมโลกเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ หรือไม่อาจปฏิเสธว่าเป็น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ที่หมดความชอบธรรมแล้ว แม้จะดื้อดึงอยู่ในอำนาจต่อไป ก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลเป็ดง่อย ซึ่งอยู่ได้เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์และพวกพ้อง พยายามนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง รวมถึงฉกฉวยโอกาสไล่ล่าและกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามและประชาชนที่มีความเห็นแตกต่าง

หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจจะสร้างความปรองดองจริง ไม่เพียงต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อำนาจจากกฎหมายเผด็จการ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ก็คัดค้าน พ.ร.ก. ฉบับนี้ว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ

เพราะไม่เช่นนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้นำเผด็จการ ที่ใช้กฎหมายอ้างความชอบธรรม เพื่อฆ่าและทำลายศัตรูฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สะทกสะท้านกับเสียงประณามและต่อต้าน เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อ จนทำให้คนไทยสามารถฆ่าคนไทยด้วยกันได้ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดไว้ว่า รัฐบาลของประชาชนต้องแสดงความรับผิดชอบ แม้คนตาย 1 คนก็ไม่ได้

นิติรัฐยัดข้อหา

นิติรัฐและนิติธรรมยุคนายอภิสิทธิ์ จึงเหมือน “นิติรัฐยัดข้อหา” หรือ “นิติธรรมอำมหิต” ที่ยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน และยังฉวยโอกาสกวาดล้างและกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้าม หรือทุกคนที่สงสัย ด้วยการกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและเครือข่ายขบวนการล้มสถาบัน

แม้แต่การค้นพบอาวุธสงครามจำนวนมาก ที่นำมาแถลงข่าวว่าซุกซ่อนอยู่ในบริเวณการชุมนุม ก็เป็นการนำมาแสดงหลัง จากคนเสื้อแดงยุติการชุมนุมแล้วถึง 2 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาปลอดผู้คนจากการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามใครมายุ่มย่าม นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีนักข่าวหรือผู้รู้เห็นเป็นพยานเลย ทั้งที่นักข่าวของไทยและนักข่าวต่างประเทศ อยู่ในพื้นที่ตลอดการชุมนุมกว่า 2 เดือน ยังไม่เคยพบเห็น หรือถ้ามีจริง ก็ต้องมีพิรุธ ซึ่งยากที่จะหลุดรอดสายตาของนักข่าวที่ไม่ใช่อยู่แค่บริเวณเวทีปราศรัย แต่เดินทางเข้าออกและทำข่าวไปทั่วทุกพื้นที่การชุมนุม

การแถลงข่าวของ ศอฉ. และการนำอาวุธมากมาย หรือหลักฐานรูปภาพ และคลิปต่างๆ มากล่าวหาใส่ร้ายคนเสื้อแดงจึงกลับส่งผลทางลบต่อ ศอฉ. เอง โดยเฉพาะข่าวที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลก ยิ่งสร้างความสงสัยในรัฐบาลและ ศอฉ. เหมือนบรรดาทูตที่เข้าพบนายกฯ ต่างซักถามเรื่องข้อกล่าวหา “ผู้ก่อการร้าย” ว่ามีหลักฐานอะไร และอาวุธมาจากที่ไหน
อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตั้งคำถามนายสุเทพในการอภิปรายไม่วางใจว่า ศอฉ. มีการตั้งด่านตรวจและสกัดทุกพื้นที่ของการชุมนุมอย่างแน่นหนารายรอบทั้งกรุงเทพฯชั้นนอก ชั้นใน ทั้งชานเมืองและต่างจังหวัด ชนิดแม้แต่แมลงวัน ยังไม่ยอมให้รอดเข้าไปได้ แต่ทำไมจึงปล่อยให้อาวุธร้ายแรงเข้าไปได้ ทำไมหลังการชุมนุมจึงค้นพบมากมาย และมีการตรวจสอบอาวุธและหลักฐานต่างๆ ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดหรือไม่

ที่สำคัญการแถลงข่าวของรัฐบาลและ ศอฉ. เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว เหมือนการอภิปรายของฝ่ายค้าน ที่นำภาพและคลิปวิดีโอทหาร ที่อยู่บนรางรถไฟฟ้ามาแสดง โดยนายสุเทพตอบว่า เป็นคนละสถานที่ ไม่ใช่หน้าวัดปทุมฯ แต่พอเห็นด้านหลังของภาพเป็นฉากวัดปทุมฯ ก็เลี่ยงไปตอบว่า เป็นคนละวัน ไม่ใช่วันที่ 19 พฤษภาคม แต่พอทราบว่า เป็นภาพจากคลิปที่ถ่ายต่อเนื่อง เห็นชัดว่าเป็นวันเดียวกับที่สยามสแควร์ไฟไหม้ คือวันที่ 19 พฤษภาคมอย่างแน่นอน นายสุเทพก็โยนไปให้ “ไอ้โม่ง” เป็นผู้ยิงประชาชนในวัด โดยไม่มีคำตอบว่า ถ้าเช่นนั้น “ไอ้โม่ง” เป็นพวกใครกันแน่

โกหกซ้ำซาก?

รัฐบาลและ ศอฉ. ใช้สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลักกล่าวหาว่า แกนนำ นปช. ปลุกระดมและบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจนประชาชนหลงผิด หลงเชื่อมาร่วมชุมนุม แต่รัฐบาลและ ศอฉ. กลับไม่รู้สึกละอายกับการปิดสื่อ ปิดเว็บไซต์ ปิดกั้นการเสนอข้อมูลข่าวสารทุกด้านของคนเสื้อแดง และผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ไม่ละอายในการใช้สื่อปลุกระดมโฆษณาชวน เชื่อ หรือ ศอฉ. ที่แถลงข่าวกล่าวหาและข่มขู่ซ้ำๆ ซากๆ ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แม้แต่ความเห็นของนักวิชาการ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและขบวนการล้มเจ้า

รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้แค่ครองแชมป์ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” เท่านั้น ยังถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพสื่อมากกว่ายุคใดๆ แม้แต่รัฐบาลเผด็จการทหาร หรือการรัฐประหารที่ผ่านมา ยังไม่ปิดกั้นและแทรกแซงสื่อเท่า กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

ทุกครั้งที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพกล่าวหาคนเสื้อแดงปลุกระดมและบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ผู้สื่อข่าวจึงได้แต่พยักหน้าและอมยิ้ม เพราะทั้งผู้แถลง และผู้ฟังต่างรู้ดีว่า ฝ่ายใดที่ปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อ ยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวให้กับประชาชนกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา

การอภิปรายไม่ไว้วางใจแค่ 2 วันของฝ่ายค้าน เมื่อเทียบกับการกรอกหูผ่านทีวีพูลของ ศอฉ. กว่า 2 เดือน แม้ไม่สามารถทำให้ประชาชนรับรู้ความจริงทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ข้อ มูลและความจริงอีกด้านหนึ่งที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ อย่างกรณีไอ้โม่งชุดดำ เรื่องสไนเปอร์ การสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมฯ ฯลฯ

โดยเฉพาะ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่กลายเป็นตัวละครสำคัญของนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ที่นำมาใช้ฟอกตัวจากเหตุการณ์ 10 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. นำมาแถลงตอกย้ำทุกครั้ง เพื่อกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่แฝงตัวอยู่กับคนเสื้อแดง แต่ไม่เคยจับตัวได้แม้ แต่คนเดียว ซึ่งโดยนัยก็คือการกล่าวหาและใส่ร้ายว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย เหมือน การกล่าวหากรณี “เครือข่ายขบวนการล้มเจ้า”

“ไอ้โม่งชุดดำ” จึงไม่รู้ว่าเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย แต่ที่ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ ก็คือฝ่ายรัฐบาล เพราะรัฐบาลใช้กล่าวหา เป็นพวกเดียวกับคนเสื้อแดง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารล้อมปราบคนเสื้อแดง

หรือแม้การอ้างว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นมือที่ 3 ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด แต่รัฐบาลก็ยัดเยียดให้เป็นคนเสื้อแดงไปโดยปริยาย แม้บางครั้ง “ไอ้โม่ง” แต่งชุดลายพรางเหมือนทหารก็จะถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่แต่งเลียนแบบทหาร ทั้งที่อาจเป็นคนของรัฐบาลก็ได้ ซึ่งสะ-ท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความไม่ยุติธรรมที่ยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน

วาทกรรมนายกฯ 100 ศพ

เช่นเดียวกับวาทกรรมของนายอภิสิทธิ์ ที่ประกาศจะเดินหน้าตามแผนความปรองดองจึงยังถูกมองว่า เป็นแค่ลมปาก เพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไปมากกว่า เพราะในทางปฏิบัตินายอภิสิทธิ์ก็ยังใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ ศอฉ. ออกมากล่าวหา ไล่ล่า กวาด ล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง

แผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์จึงเหมือนน้ำมันกับไฟมากกว่า ตราบใดที่ยังใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อฉวยโอกาสไล่ล่า กวาด ล้างฝ่ายตรงข้าม ไม่ต่างกับเพลง “โรดแม็พความปรองดอง” หรือ เพลง “รักกันไว้เถิด” ที่นำไปเปิดขณะที่รถถังและกำลังทหาร นับหมื่นนายกำลังเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงจนตายและบาดเจ็บมากมาย

นายอภิสิทธิ์ที่วันนี้ได้ฉายา “นายกฯ 100 ศพ” (หรืออาจจะเถียงว่าไม่ถึง 100 แค่ 89 ศพ เท่านั้น) ในความรู้สึกของคนเสื้อแดงและประชาคมโลก จึงหมดความชอบธรรมล้านเปอร์เซ็นต์ เหมือนที่นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ในรายการ “ข่าวยามเช้า” ทางวิทยุ FM 101 ถึงเหตุการณ์ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบาย และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมเข้าประชุม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 443 รายว่า ไม่นึกไม่ฝันว่า จะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยังพยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก ซึ่งการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐโดยรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ

“สังคมไทยต้องอยู่กับความถูกต้อง แล้วผมจะเตือนคุณสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าไม่มีการแสดงความรับผิดชอบแบบอารยประเทศแล้ว วัฒนธรรมทาง การเมืองในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงครับ จากนี้ไปจะมีแต่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นไปอีก ถึงท่านอยู่ ท่านก็ปกครองไม่ได้ บริหารไม่ได้แล้ว อยู่ไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นกลับตัวกลับใจเสียเถอะครับ”

กฎหมา(ย) นิติธรรมอำมหิต

คำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่เคยเรียกร้องให้นายสมชายแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองจากการสลายกลุ่มพันธมิตรฯในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 ราย หรือการเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองครั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมขับไล่และยึดทำเนียบรัฐบาล (อ่านได้ที่ปกหลังฉบับนี้)

วันนี้ย้อนกลับมาที่ตัวนาย อภิสิทธิ์เช่นกันว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์จึงดื้อดึงและดื้อด้านไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองกับการทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย ทั้งยังกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสีประชาชนและฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมืองอีก

โดยเฉพาะการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศต่อต้านว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับนำมาใช้เหมือนเป็น ดาบอาญาสิทธิ์ที่คิดจะกล่าวหา ไล่ล่า กวาดล้าง หรือสั่งฆ่าใครก็ได้ พลอยให้แม้แต่ศาลยุติธรรม เองที่จะต้องพิพากษาคดีความด้วยหลักฐานและข้อเท็จจริง ก็ยังถูกมองว่าไร้ความยุติธรรม เพราะต้องตัดสินไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่สร้างขึ้นโดยฝ่ายรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียว

สังคมไทยทุกวันนี้จึงวิปริต และหายนะ เพราะการโกหกตอแหลของคนในสังคมนั่นเอง รวมถึงการเชิดชูยกย่องและ ยอมรับว่าใครโกหกตอแหลเก่งคือผู้นำศรีธนญชัยที่เก่งกล้า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ สื่อ หรือองค์กรภาค ประชาชน ก็ยังเต็มไปด้วยความ อคติและเกลียดชัง แม้แต่ผู้นำบ้านเมืองที่ต้องยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม เพื่อเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคยังถูกประณามว่า 2 มาตรฐาน

กฎหมายประเทศไทยวันนี้จึงเหมือนไม่มี “ย.ยักษ์” “นิติรัฐและนิติธรรม” กลายเป็น “นิติรัฐยัดข้อหา” หรือ “นิติ ธรรมอำมหิต”!

ผู้ก่อการร้ายตัวจริงจึงอาจ ไม่ใช่ “ไอ้โม่งชุดดำ”...แต่มันคือคนใส่สูท แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ให้พรรคร่วมงูเห่าปลาไหลที่กลัวอดอยากปากแห้ง ยกมือให้ครองเมืองกันต่อไป...

อนิจจาประชาชนไทย!

มือเผาห้างเซ็นทรัลเวิร์ล(ของจริง) แปลกใช้ ผ้าพันคอ มีทั้ง เหลือง และ ชมพู สายรัดข้อมือเหลืองด้วย



ดูจากในคลิปเห็นช่างภาพมากมาย ที่ค่อยถ่าย แต่แปลกมากที่ตำรวจไม่จับคนกลุ่มนี้เลย


"โคเรียไทม์" เขียนการ์ตูนแซว "อภิสิทธิ์" นั่งหลับในวิชาสิทธิมนุษยชนที่ "อ๊อกซ์ฟอร์ด"

ภาพการ์ตูนการเมืองดังกล่าวมีชื่อว่า "อภิสิทธิ์ น้อย ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด" ซึ่งเล่าเรื่องราวเชิงหยอกล้อว่าเมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ยังศึกษาอยู่ใน มหาวิทยาลัยชื่อ ดังของโลกและประเทศอังกฤษ และได้เข้าเรียนวิชาสิทธิมนุษยชน นายกฯไทยคงจะนั่งหลับ ขณะที่อาจารย์กำลังสอนประเด็นเรื่องการถูกกดขี่ข่มเหงของชนกลุ่มน้อยในสังคม

เจอแล้ว...มือที่มองไม่เห็น

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภาพเสื้อแดงให้กำลังใจ ตู่ - เก่ง มอบตัวศาลอาญา

ภาพมวลชนเสื้อแดงให้กำลังคุณจตุพร และ เก่ง การุณ ที่เข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา ที่ศาลอาญา รัชดา ครับ


จดหมาย จากค่ายทหารความจริงที่ถูกละเลย

วันนี้ ไม่อยากเขียนอะไรมาก แต่มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกลักลอบส่งออกมาจากค่ายทหาร
ที่ จังหวัดสระบุรีมาให้อ่านดังนี้

...จากการที่รัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อาศัยอำนาจ ศอฉ.
ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกหมายจับเพื่อควบคุมตัวข้าพเจ้า นายสมยศ พฤษาเกษมสุข
และ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยจะก่อเหตุร้ายแรงขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
โดย ที่ข้าพเจ้าและ ดร.สุธาชัยได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานตำรวจกองปราบปราม
เพื่อ แสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2553 และถูกนำตัวมาควบคุมไว้ที่ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี
การกระทำของรัฐบาล เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยมีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

1.ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นแกนนำ นปช. มาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2552 ไม่เคยมีส่วนร่วมการประชุม
หรือมีส่วนเกี่ยว ข้องใดๆกับแกนนำ นปช. ทุกระดับชั้น
 ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมที่สะพาน ผ่านฟ้าฯและที่ราชประสงค์ ระหว่างวันที่ 14 มี.ค.-19 พ.ค. 2553

2.ข้าพเจ้า เป็นบรรณาธิการบริหารนิตยาสารรายปักษ์ “Voice of Taksin”
ทำหน้าที่สื่อ มวลชนวิชาชีพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารความเป็นจริง แสดงความคิดเห็น
และ วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลตามปรกติ
ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ชื่อหนังสือ Voice of Taksin เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าและได้จดทะเบียนชื่อหนังสือนิตยสารถูกต้อง

3.การ ที่ข้าพเจ้า, ดร.สุธาชัย, อ.เยี่ยมยอด ศรีมันตะ ได้จัดการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2553
ที่หน้าสำนักงานมูลนิธิบ้าน เลขที่ 111 มีเพียง 3 คน จึงไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
การ แถลงข่าวในวันดังกล่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นแตกต่างไปจากรัฐบาล
และได้ เสนอข้อเรียกร้อง 5 ข้อ เพื่อสร้างความสงบสุขและการปรองดองอย่างแท้จริง

การ แถลงว่าจะจัดการชุมนุมในวันที่ 30 พ.ค. 2553
ที่สวนสาธารณะเขาแก่น จันทร์ จังหวัดราชบุรี เป็นการประกาศล่วงหน้า 10 วัน
มีกำหนดการเริ่มต้น เวลา 15.00 น. และสิ้นสุดเวลา 21.00 น. เป็นการประชุมที่ศาลาอเนกประสงค์
บรรจุ ผู้เข้าร่วมได้ราว 500 คนเท่านั้น

การชุมนุมดังกล่าวจัดขึ้นใน จังหวัดราชบุรี นอกเขต พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
และการจัดกิจกรรมในสวนสาธารณะมี กำหนดการแน่นอน และหัวข้ออภิปรายชัดเจน
จึงเป็นการชุมนุมโดยสงบ ไม่ก่อความเดือดร้อนต่อสาธารณะ
ไม่ก่อให้เกิดสถานการณ์ร้ายแรง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

ส่วนการประกาศจัดงานครบรอบ 78 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นกิจกรรมวิชาการ เป็นการให้ความรู้ต่อประชาชน
ซึ่งกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยจัดให้มีขึ้นทุกปีอยู่แล้ว โดยจัดขึ้นที่โรงแรมรัตนโกสินทร์
หรือที่สนามหลวง

ถ้าหากรัฐบาล เห็นว่าการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่สงบ
รัฐบาลมีอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกคำสั่งให้ยุติหรือมีคำสั่งห้าม
แต่รัฐบาลกลับใช้อำนาจ ควบคุมตัว จำกัดสิทธิเสรีภาพอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

4.การควบ คุมตัวโดยไม่ให้ติดต่อสื่อสาร
ทำให้ข้าพเจ้าและดร.สุธาชัยไม่มีโอกาส ปรึกษาหารือกับทนายความไม่มีโอกาสนำเสนอข้อเท็จจริง
พยานหลักฐานใน กระบวนการยุติธรรม จึงเป็นการกล่าวหาตั้งข้อสงสัยฝ่ายเดียว
ทำให้ ข้าพเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม

5.รัฐบาลเสนอแผนปรองดอง
แต่กลับ ใช้อำนาจเกินขอบเขตควบคุมกักขังข้าพเจ้าโดยไม่มีการพูดเจรจาเพื่อการปรองดอง

6.การ ใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลในการจับกุมตัวและควบคุมตัวข้าพเจ้าและ ดร.สุธาชัย
ก่อให้เกิดความเสียหายในชีวิต ทรัพย์สิน ทั้งในด้านครอบครัวและอาชีพการงานอย่างรุนแรง

ระหว่างการควบคุมตัว ข้าพเจ้าได้รับความสะดวกสบายและมิตรไมตรีจากทหารในค่ายอดิศรเป็นอย่างดีทุก ประการ
แต่การใช้อำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาล เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

จึง ขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้พิจารณาข้อร้องเรียนของ ข้าพเจ้า
และ ดร.สุธาชัยเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนต่อไป

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 8/06/53

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ถาม เด็กอนุบาลกุ๊กไก่ใครทำ? ใครที่มีแรงจูงใจก่อเหตุทุบรถเบ๊นซ์ฉกโน้ตบุ๊คสำนวนคดียุบปชป.?

ทุบเบนซ์!ดีเอสไอ ฉกโน้ตบุ๊คเก็บสำนวนคดีเงินบริจาค 258 ล้าน ของพรรคประชาธิปัตย์ ชาวเฟซบุ๊คเสื้อแดงถาม"กรณีนี้ ขอถามน้อง ๆ อนุบาลกุ๊กไก่ว่า ใครเป็นคนทำ หรือ มีแรงจูงใจอย่างไร ?"

วานนี้ (6 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงกลางเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ว่ารถเบนซ์ส่วนตัวได้ถูกคนร้ายทุบกระจกรถและขโมยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปขณะ จอดอยู่บริเวณริมถนนรัชดา

ทั้งนี้คนร้ายไม่ได้แตะต้องทรัพย์สินมีค่าอื่นๆภายในรถแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ถูกขโมยไปส่วนใหญ่เป็นข้อมูลทางคดีที่ เกี่ยวกับสำนวนการสอบสวนคดีเงินบริจาค 258 ล้าน เข้าพรรคประชาธิปัตย์ จนนำไปสู่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา

ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รอง อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะโฆษก ดีเอสไอ กล่าวว่า ยังไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะเรียกตัว พ.ต.ท.วรชัย มาสอบถามถึงรายละเอียดอีกครั้งว่าเกิดเหตุวันไหน อย่างไรก็ตามคดีเงินบริจาค 258 ล้าน ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ทางดีเอสไอได้ส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้กับ กกต.หลายเดือนแล้ว

กรณีนี้ ขอถามน้อง ๆ อนุบาลกุ๊กไก่ว่า ใครเป็นคนทำ หรือ มีแรงจูงใจอย่างไร ?

"ไก่อู่"ย่อมรับใส่ชุดพลเรือนถือปืนนั้นเป็นทหารจริง อ้างแค่ไปส่งอาหารเท่านั้น ไม่มีภาระกิจอื่น

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองหนึ่งนำภาพบุคคลสวมชุดพลเรือนถือปืนเอ็ม 16 มาเปิดเผย พยายามทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า มีบุคคลพลเรือนถืออาวุธปืนในพื้นที่ที่ทหารอยู่ ซึ่งหมายความว่า มีการแอบยิงเพื่อสร้างสถานการณ์วุ่นวาย และโยนความผิดให้กลุ่มผู้ชุมนุมนั้น จากการตรวจสอบเรื่องนี้กับกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2รอ.) ทราบว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ ซ.งามดูพลี แถวบ่อนไก่ เป็นภาพที่เจ้าหน้าที่ทหารแต่งชุดไปรเวท เพื่อเข้าไปส่งอาหารให้กับกำลังพลในจุดต่างๆ โดยชุดหนึ่งจะมีประมาณ 2-3 คน ซึ่งหน่วยที่ส่งอาหารคือ กองพันทหารม้าที่ 5 (ม.พัน 5 ) จ.สระบุรี โดยเรามีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน เพราะการนำอาหารไปส่งยังจุดต่างๆหน้าแนวทหารที่วางกำลังถือว่า อันตรายจึงต้องทำตัวให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไป ซึ่งเมื่อนำอาหารไปส่ง ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ชุดระวังป้องกันถูกยิง เขาจึงมีส่วนช่วยลำเลียงทหารที่ถูกยิงออกจากพื้นที่

ส่งสะเบียงทำไมไม่ถือห่อข้าวผัด ดั๊นถือปืนซะงั้น

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความจริง เกี่ยวกับการกระชับพื้นที่ของรัฐบาล

วันนี้ขอนำความจริง ข้อเท็จจริงที่มีหลักฐาน และพยาน
ไม่ใช่ความรู้สีก ไม่ใช่การใส่ความ
แล้วลองให้ประชาชน วิเคราะห์ และ ตัดสินใจกันเอง


ความ จริง เกี่ยวกับการกระชับพื้นที่ของรัฐบาล

ความจริง   มีคนตาย 88 ศพ สูญหายเกือบ 40 คน บาดเจ็บเกือบ 2000 คน
ความจริง    มีประชาชนโดนยิงที่หัว อย่างแม่นยำ ด้วยการยิงจากระยะไกล
ความจริง    มีทหารใช้ปืนติดกล้องเล็ง และเล็งยิงมาที่ประชาชน จริง
ความจริง    มีการซุ่มยิงที่ซอยรางน้ำ (ราชปรารภ) กว่า 3 วัน
                ทุกคนรู้ว่าพลซุ่มยิง ยิงจากตึกไหน ทำไมทหารไม่เข้าไปจัดการพลซุ่มยิง
ความ จริง    มีทหารรักษาพื้นที่บริเวณรอบๆ ตึกที่ใช้ซุ่มยิง ไม่มีทหารคนไหนโดนซุ่มยิงเลย
ความจริง    ไม่มี ไม่เคยมีภาพ ของผู้ชุมนุม หรือฝ่ายอื่นๆ ที่มีปืนติดกล้อง
ความจริง    หลังจากเคอฟิวส์ ไปแล้ว 2 คืน ศอฉ. แถลงว่าพบอาวุธสงครามมากมายในที่ชุมนุม
ความ จริง    นักข่าว ทำข่าวอยู่กว่า 2 เดือนสามารถเข้าออกที่ชุมนุม ได้ตลอดเวลา
                แต่ไม่เคยเจอว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธร้ายแรงเลย
ความจริง:  อภิสิทธิ์สั่งปิดเวบไซด์กว่า 1000 เวบไซด์ และทีวีเสื้อแดง โดยกล่าวหาว่าปลุกระดมและบิดเบือนข้อมูล แต่ไม่เคยปิดเวบไซด์เสื้อเหลือง และ ASTV

ความจริง:  มีนักข่าวทั้งคุณ แยม สามมิติ และ วาสนา นาน่วม โดนคุกคามในการนำเสนอข้อมูลความจริง

ความจริง:  กาชาดไทยไม่เคยเหลียวแลคนเสื้อแดงเลย จนกระทั่งในวันก่อนสลายที่มีกาชาดสากลเข้ามา จึงมีการนำของมาแจกแบบเสียไม่ได้

ความจริง:  พยาบาลอาสา จนท. มูลนิธิปอเต็กตึ๊ง และ จนท. อาสาของวชิระพยาบาล โดนยิงเสียชีวิตในขณะที่เข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังบาดเจ็บจากการ ปะทะ และ ถูกทหารลอบยิง

ความจริง:  คนเสื้อแดงพยายามแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อในหลวง ไม่ว่าจะเป็นการถวายฏีกา การจุดเทียนต่างๆ

ความจริง:  เสธ.แดงถูกลอบยิงเสียชีวิตจากการยิงระยะไกล โดยไม่มีโอกาสต่อสู้ ในวันแรกของการที่ทหารต้องการ "กระชับพื้นที่"

ความจริง:  ไม่มีสมาชิกราชวงศ์พระองค์ใดเสด็จไปงานศพเสธ. แดง

ความจริง:  ศอฉ. มีการอายัดไม่ให้คนที่ต่อต้านรัฐบาลทำธุรกรรมทางการเงิน

ความจริง:  มีการยิงระเบิด M79 ที่สีลม โดยมีคนตาย และคนบาดเจ็บ โดยคุณหญิงหมอพรทิพย์ ระบุว่ายิงมาจาก รพ. จุฬา

ความจริง:  ตัวแทนสว. ได้เข้าเจรจากับแกนนำเสื้อแดงในคืนก่อนสลาย โดยแกนนำรับปากเจรจา และ ตัวแทนสว. รับปากจะไปเจรจากับนายก แต่ก็มีการเข้าสลายเพียง ไม่กี่ชม. หลังจากที่ตัวแทนสว. รับปาก

ความจริง:  คนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่กลับเรียกร้องขอให้องค์กรสากล หรือ UN เข้ามาตรวจสอบ แต่รัฐบาลไม่ยินยอม

ความจริง:  ยังไม่มีการจับกุมผู้ก่อการร้ายในกลุ่มเสื้อแดงได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่ทหารได้ยิงประชาชนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภาเสียชีวิตไปแล้ว 88 ศพ

ความ จริง: รัฐบาลมีการฉลองชัยชนะในการกระชับพื้นที่ที่ราบ 11 จริง

ความ จริง: รัฐบาลมีการเลี้ยงตอบแทนสื่อที่ร่วมทำงานกับรัฐบาลด้วยดีที่ราบ 11 จริง

ความจริง:  คนเสื้อแดงมีเรียกร้องให้ยุบสภา เพียงเท่านั้นจริงๆ ไม่มีข้อเรียกร้องอันใดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันใดๆ ทั้งสิ้น

ความ จริง:  ทหารมีการจับพระ ทำร้ายพระ จริงๆ

ความจริง:  หมอตุลย์ แกนนำม็อบหลากสีได้ทำผิดพรก. ฉุกเฉินในการรวมตัวเกิน 5 คนจริง แต่ไม่มีการดำเนินความผิด แถมยังสามารถไปเรียกร้องให้ตำรวจปรับปรุงการทำงาน

ความจริง:  ในระหว่างที่แกนนำประกาศขอยุติการชุมนุม มีการยิงขึ้นมาบนเวที และยิงมาจากด้านขวามือ ทำให้แกนนำและผู้ชุมนุมต่างวิ่งหนีตายกันอลหม่าน แสดงเห็นว่าทหารไม่ได้แค่ต้องการให้มีการยุติการชุมนุม แต่ต้องการ "ฆ่า" คน

ความ จริง:  มีผู้ชุมนุมหนีไปหลบในวัดปทุมฯ จำนวนหลายพันคนจริง และไม่มีใครกล้าออกมาเพราะกลัวโดนสไนเปอร์ ต้องมีการโทฯออกมาขอให้สส. เพื่อไทย และ ตำรวจเข้าไปรับตัวตอนเช้า ทั้งๆ ที่ยุติการชุมนุมไปแล้ว

วาทะอภิสิทธิ์ "ดูดีเมื่อพูด แต่เลวระยำเมื่อลงมือทำ"

7 ตุลาคม 2551 รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำเนินการสลายการชุมนุม (ของ พธม.) บริเวณหน้ารัฐสภา
9 ตุลาคม 2521 นายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้แสดงวาทะต่อเหตุการณ์ดังกล่าวไว้อย่างน่ารับฟัง ดังต่อไปนี้
---------
** ผมไม่นึกไม่ฝันว่า เรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส
** แล้วเรายังมีรัฐ ที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไป ให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ"
** บัดนี้เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯ ไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก
พฤติกรรมอย่างนี้ ไม่มีทางนำพามาซึ่งความสมานฉันท์ความปรองดอง"
** มีการทำร้ายประชาชน มีการยิงอาวุธใส่ประชาชน ไม่ได้เป็นไปตามที่ได้แถลงก่อนหน้านี้ว่าเป็นการใช้แก๊สน้ำตาเท่านั้น
** ประชาชนคนไทยนั้น ไม่ใช่ประชาชนที่รุนแรงครับ แต่เป็นผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงของภาครัฐ
** เป็นคนหรือเปล่า กระทำกับบุคคลถึงขั้นเสียชีวิต แล้วยังยัดเยียดปรักปรำใส่ร้ายเขาอีกว่าเขาพกพาอาวุธ
** พันธมิตรทำถูกทำผิด รัฐบาลไม่มีสิทธิ์ทำผิด ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายประชาชน อันนี้คือจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์
** เราเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ทำในสิ่งที่เราพอจะทำได้
ถ้าการทิ้งตำแหน่งนั้นทำให้บ้านเมืองสงบแก้ไขปัญหาได้ เราทำทันที
** ผมเห็นอาการท่าน (สมชาย วงศ์สวัสดิ์) ตอนนี้ มีแต่ความหวาดกลัว ความหวาดระแวงไปหมดแล้ว
ถามท่านว่า ท่านอยู่ไปเพื่ออะไรครับ
** ผมสนใจว่าต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนครับ
** ผมอยากจะเห็นว่ารัฐบาลมีบทบาทในการคุ้มครองประชาชนมากกว่านี้
** ถ้ายุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน ผมก็ไม่ว่านะครับ ก็ดีกว่ารัฐบาลอยู่อย่างนี้แล้วรัฐบาลพังไปเรื่อยๆ
** การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ประชาชน ถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้ว รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่ แสดงความรับผิดชอบ
------
เมื่ออำนาจลึกลับได้นำพา นายอภิสิทธิ์ มานั่งในตำแหน่งเดียวกับ นายสมชาย วงสวัสดิ์
จนเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ต่อเนื่องจาก 10 เมษายน - ปลายพฤษภาคม 2553 ...
การกระทำทั้งหมดของนายอภิสิทธิ์ในห้วงเวลาดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่า...
ทรราชเจ้าของมธุรสวาจาข้างต้น ก็แค่ ..."คนที่ดูดีเมื่อพูด แต่เลวระยำเมื่อลงมือทำ"

คิดถึงนัฐวุฒิจัง เราเสื้อแดงจะ ไม่มีวันแพ้ ไม่มีทางยอมหยุด ชุมนุมเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น

ณัฐวุติ-แรพ วันยื่นฎีกา

"แฟ้มคดี" เปิดคำให้การ พยานที่เกิดเหตุ คดีฆ่าหมู่ 6 ศพ สยองวัดปทุมฯ


เริ่มชัดเจนขึ้นตามลำดับในคดีฆ่าหมู่ 6 ศพภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา อันเป็นวันที่ทหารกรีธาทัพเข้าสู่แยกราชประสงค์เวทีชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พร้อมกับ "คลิป" ที่นำมาเผยแพร่ไปทั่วถึงภาพทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส บริเวณหน้าวัด เมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 พฤษภาคม เป็นห้วงเวลาใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุฆ่าหมู่ รวมกับคำให้การของพยานที่อยู่ภายในวัด ซึ่งตั้งเป็นเขตอภัยทานให้ผู้ชุมนุมเข้ามาพักอาศัย แต่ห้ามพกพาอาวุธเข้ามา บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีการฆ่ากันจริงที่หน้าวัด
พยานบางปากระบุชัดว่าเป็น "คนในเครื่องแบบ" ที่เจตนายิงใส่เหยื่อทั้ง 6 ราย จากบนรางรถบีทีเอส และบางส่วนก็มาตามพื้นราบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าในจำนวนนั้นมีหน่วยพยาบาลอาสา ที่เสียสละเข้ามาเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ โดยไม่มีส่วนในการชุมนุมแต่อย่างใด

พระมหาสุริยันต์ ปภังกโร ผู้ช่วยเลขานุการวัดปทุมวนาราม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า ในวันที่เจ้าหน้าที่ทหารนำกำลังเข้าบุกยึดพื้นที่คืนบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในช่วงบ่าย ภายในวัดเต็มไปด้วยผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ขอเข้ามาหลบภัยมากกว่า 3,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็กและคนชรา "กระทั่งเวลาประมาณ 18.30 น.กำลังทหารก็ได้บุกเข้ามาถึงบริเวณหน้าวัด ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมยืนอยู่บริเวณริมรั้วจำนวนมาก โดยฝั่งขวาของทางเข้าวัดมีกลุ่มอาสาสมัครแพทย์นั่งอยู่กว่า 5 คน เพื่อเตรียมช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัด หลังเสียงปืนสงบทราบว่ามีผู้ชุมนุม และพยาบาลอาสา ที่นั่งอยู่ด้านหน้าถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพ และผู้ชุมนุม 3 ศพ โดยทั้งหมดเสียชีวิตบริเวณภายในวัดจุดที่ขึงป้ายเขตอภัยทาน" พระมหาสุริยันต์กล่าว ขณะที่พระผู้ใหญ่ในวัดปทุมวนารามรูปหนึ่ง เปิดเผยว่า ได้รับการบอกเล่าเหตุการณ์จากผู้ชุมนุมที่หลบหนีเข้ามาภายในวัด ภายหลังที่แกนนำ นปช.ประกาศสลายการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ มีกลุ่มบุคคลลึกลับแต่งกายคล้ายทหาร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จำนวน 3-4 ราย ได้ใช้อาวุธปืนยาวยิงลงมาจากด้านบนสะพานลอยใต้รางรถไฟฟ้าบีทีเอส ยิงถูกผู้ที่วิ่งหลบเข้าไปในวัด "กองกำลังกลุ่มที่ 2 จำนวนไม่แน่ชัด วิ่งไล่ตามมาบนถนนถึงหน้าวัด ก่อนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงจนมีผู้ล้มลง มีอยู่รายหนึ่งใช้อาวุธปืนพกสั้นชักออกมาจากข้างเอว ยิงกลุ่มผู้ที่หลบหนีจะเข้าวัดในระยะประชิดจนล้มคว่ำ ก่อนที่กลุ่มบุคคลลึกลับดังกล่าวอาศัยความชุลมุนวุ่นวายและความมืดหลบหนีหาย ไปอย่างไร้ร่องรอย" นายน้อย (ขอสงวนชื่อและนางสกุล) อายุ 35 ปี ชาวชลบุรี ที่เข้าร่วมชุมนุม และเป็นหนึ่งในคนที่เข้าไปหลบภายในวัด ระบุว่า สังเกตเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายทหารเดินอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งอยู่ตรงหน้าวัดปทุมฯ ตะโกนลงมาว่าพวกมึงมาชุมนุมกันที่นี่มันผิดกฎหมายรู้ไหม จากนั้นกลุ่มชายแต่งชุดคล้ายทหารได้กราดยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ภาย ในวัด ถูกชาวบ้านล้มตายต่อหน้า นายน้อยกล่าวอีกว่า จนกระทั่งเช้ามีตำรวจยศพล.ต.ต.พร้อมกำลังชุดอรินทราช มาช่วยรับชาวบ้านออกจากวัดปทุมฯ ขณะมีกำลังตำรวจอยู่ด้วยก็ยังเห็นกลุ่มชายแต่งชุดคล้ายทหารระดมยิงเข้าใส่ จนพล.ต.ต.คนนั้นต้องบอกให้หยุดยิงได้แล้ว เนื่องจากภายในวัดมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วย ทำให้เสียงปืนสงบลง ซึ่งไม่อย่างนั้นชาวบ้านกลุ่มนี้คงถูกสังหารตายหมู่

ขณะที่เว็บไซต์ข่าว ดิ ออสเตรเลียน ของออสเตรเลีย รายงานว่า นายสตีฟ ทิกเนอร์ ซึ่งทำข่าวการชุมนุมและอยู่ในที่เกิดเหตุสลายผู้ชุมนุมที่วัดปทุมวนาราม วันที่ 19 พฤษภาคม เล่าว่า ตลอดคืนนั้นมีแต่เสียงปืนและระเบิด ภายในวัดมีทั้งคนตายและผู้บาดเจ็บ คนที่อยู่ในวัดส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และไม่ใช่กลุ่มฮาร์ดคอร์ "ชายคนหนึ่งที่อยู่ในวัดถูกทหารที่อยู่ห่างจากวัดไม่กี่เมตรยิงเข้าใส่ ชายคนนั้นทรุดลงไปกองกับพื้น เมื่อผมและพระสงฆ์จะเข้าไปช่วยลากชายคนนั้นก็ถูกทหารยิงใส่เข้ามา ผมไม่ได้ออกจากวัด เพราะกลัวถูกยิงตาย ข้างนอกวัดมีสไนเปอร์และรถถัง มีแต่ความโกลาหล" นักข่าวต่างชาติเล่าผ่านเว็บไซต์
นางชวนพร ชัยมงคล อายุ 55 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ เล่าถึงนาทีหนีตายเข้าไปอาศัยในวัดปทุมฯ ว่า จะออกมาก็ออกไม่ได้เพราะว่าหลายคนที่ออกมาเพราะห่วงข้าวของเครื่องใช้ก็ถูก ยิง ทั้งที่ตรงนั้นมีแต่เด็กผู้หญิงเต็มไปหมด นายอนุชา ยะอนันต์ อายุ 45 ปี นปช.ลำพูน เล่าว่า อยู่ในวัดปทุมฯ ถูกไล่ยิงเหมือนหมา ออกไปนอกวัดก็ไม่ได้ มีทหารอยู่บนรางรถไฟเห็นๆ กันอยู่ จะไม่เห็นได้ไง ไล่ยิงกันรอบวัดเลย พวกเราไม่มีอาวุธมีแต่ไม้เหลาแหลม แต่ทหารอาวุธครบมือ วันหนึ่งถ้าเป็นญาติของเขาบ้างจะรู้สึกอย่างไร รัฐบาลไม่น่าทำขนาดนี้ นางชฎาทาน ธันวาภักดี ชาว จ.นนทบุรี อายุ 55 ปี อาชีพค้าขาย กล่าวว่า เขาใจร้ายมาก ฆ่าเราเหมือนหมูเหมือนหมา เหมือนเราไม่ใช่คน ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้ามีคนตาย 6 ศพ น่าอนาถใจมาก ไม่คิดเลยว่าจะยิงเรา "พวกเราก็พากันหนีตายเข้าไปในวัดบ้าง หลบอยู่ใต้รางรถไฟฟ้าบ้าง เขาก็ยิงลงมาอย่างต่อเนื่องเก็บข้าวของกันแทบไม่ทัน เขายืนอยู่บนหัวเรา ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็น พอเราออกมาตอนเช้ายังเห็นทหารยืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้า" นางคำสอน สมพงษ์ อายุ 57 ปี ชาว จ.หนองคาย เล่าว่า ขณะที่นางพยาบาลกำลังปั๊มหัวใจช่วยคนเจ็บอยู่ก็ถูกยิงเสียชีวิต การ์ดก็ตาย โหดมาก
นายสุชาติ พรั่งพรหม นปช.จันทบุรี กล่าวถึงนาทีระทึกขวัญว่า เห็นทหารยิงประชาชน ตอนนั้นพักอยู่ที่วัดปทุมวนารามเห็นศพอยู่ในวัด 6 ศพ บาดเจ็บอีกประมาณ 10 คน ยิงพยาบาลอาสาสมัครในวัดที่กำลังทำแผลให้กับคนเจ็บ ส่วนนายเพิ่มสุข ใจเย็น อายุ 55 ปี จาก จ.นครพนม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ทหารกราดยิงจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอสใส่ผู้ชุมนุมในวัด ปทุมวนาราม ขับรถกระบะจะเลี้ยวเข้าวัดปทุมวนาราม จอดอยู่ในวัดห่างประตู 6-7 เมตร ก็ได้ยินเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงจอดรถมุดเข้าใต้ท้องรถ มองดูพบว่าที่สะพานรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ยินเสียงปืนดังขึ้นและเห็นทหาร 1 นายส่องปืนลงมา ก่อนยิงมาที่ตน กระสุนถูกโคนขาด้านขวา 1 นัด และก้นด้านขวา 1 นัด ได้รับบาดเจ็บ

"คนที่ยิงใส่ชุดทหาร คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธปืนเอ็ม 16 ขณะถูกซุ่มยิงบนสะพานรางรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้นยังเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลัง วิ่งเข้ามาบริเวณหน้าวัด เป็นชาย ถูกยิงที่หน้าอก 1 นัด และลำคอ 1 นัด ผู้เห็นเหตุการณ์จึงช่วยอุ้มผู้บาดเจ็บเข้ามาในวัด พยาบาลอาสาพยายามปั๊มหัวใจไม่ถึง 5 นาที ชายคนดังกล่าวจึงเสียชีวิต นายณรงค์ศักดิ์ สิงห์แม อายุ 49 ปี กล่าวว่า เวลาประมาณ 6 โมงเย็นหลบเข้าไปอยู่ในวัดปทุมวนาราม มีหน้าที่จัดเตรียมเสบียงอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ร่วมชุมนุม ระหว่างนั่งพักตรงฟุตปาธภายในวัดได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุด ทำให้ทุกคนรีบหมอบลง ส่วนตนนั้นถูกยิงเข้าที่ขาซ้าย หน้าท้อง และหน้าอก รวม 4 นัด ซึ่งบาดแผลที่หน้าอกนั้นหากไม่ถูกเหรียญที่ตนคล้องคอไว้ก็อาจเสียชีวิตไป แล้วก็ได้
ส่วนนายศักดิ์นรินทร์ สิงห์แม ลูกชายเล่าว่า อยู่ภายในวัดปทุมวนาราม ช่วยพ่อทำกับข้าวอยู่ที่โรงทานเพื่อแจกผู้ชุมนุม กระทั่งช่วงเย็นวันที่ 19 พฤษภาคม เห็นเจ้าหน้าที่ทหารใส่ชุดลายพราง มีผ้าพันคอสีฟ้า และที่หมวกเหล็กมีสติ๊กเกอร์สีชมพูติดอยู่ ยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ประทับปืนแล้วก็ยิงเข้ามาภายในวัด

จากคำให้การต่างๆ ดูเหมือนจะสอดคล้องว่า 6 ศพในวัดปทุมวนาราม จบชีวิตด้วยฝีมือของใคร!??

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ศอฉ.สุดกร่างคุมเลือกตั้งสข.พรุ่งนี้ คนกรุงพรึบจุดกระแสต้านเลือกปชป.ฆาตกรสังหารเสื้อแดง




ต่อ ต้านการฆ่าไม่เลือกสข.ประชาธิปัตย์ -มือดีพ่นสีสเปรย์ป้ายหาเสียง ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า"หยุดฆ่าประชาชน"และ"พวกฆาตกร" พร้อมทั้งรณรงค์ไม่ให้เลือกสมาชิกสภาเขต(สข.)กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคนี้ ในวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายนนี้ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านพรรคการเมืองมือเปื้อนเลือด

การเลือกตั้งสมาชิกสภา เขต(สข.) กรุงเทพมหานครในวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายนนี้ ทางศอฉ.ได้เข้ามาแทรกแซงด้วย โดยอ้างว่าทางทหารจะร่วมกับตำรวจคมหน่วยเลือกตั้งด้วย โดยอ้างว่าเพื่อรักษาความปลอดภัย

ขณะที่พรรคเพื่อไทยประกาศว่ากระแส คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่สงสารเห็นใจคนเสื้อแดงที่ถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างโหดร้าย และไม่ให้ความเป็นธรรมน่าจะมีผลต่อการเลือกตั้งสข.ครั้งนี้

ส่วนพรรค ประชาธืปัตย์คู่แข่งสำคัญในสนามเลือกตั้งสข.ได้ชูสโลแกนว่าพรรคประชาธปิตย์ เป็นผู้ดำเนินการนำความสุขสงบกลับมาสู่ชาวกรุงเทพฯ จึงขอให้ผู้ที่สนับสนุนลงคะแนนเสียงใหม้

14 เขตกรุงเทพฯเลือกสข.6มิ.ย.อุณหภูมิการเมืองเดือด

ในวัน อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ สนามเลือกตั้งกรุงเทพฯจะมีการจัดเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (ส.ข.)ในพื้นที่ 14 เขต เนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ประกอบด้วย เขตลาดพร้าว บึงกุ่ม วังทองหลาง สะพานสูง คันนายาว มีนบุรี หลักสี่ บางเขน จตุจักร ดอนเมือง สายไหม ลาดกระบัง คลองสามวา และบางกะปิ

การเลือกตั้ง ส.ข.เขตกรุงเทพฯโซนตะวันออกนี้กำหนดขึ้นในวันที่ 6 มิ.ย.53 เวลา 08.00 – 15.00 น.

ทั้งนี้ในจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งสข.ดังกล่าวเป็นผู้ สมัครจากสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทยมากที่สุด นอกจากนั้นเป็นผู้สมัครอิสระ 2 กลุ่ม คือกลุ่มอดีตส.ส.มงคล กิมสูนจันทร์ และกลุ่มสุวรรณภูมิ ของร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์

สถิติเลือก ตั้ง ส.ข. 14 เขตปี 49 ใช้สิทธิ 35.39 %

สำหรับการเลือก ตั้ง ส.ข.14 เขต มีจำนวน 7 เขต ที่ประชาชนเลือกตั้ง ส.ข.ได้ 7 คน ได้แก่ เขตลาดพร้าว บึงกุ่ม วังทองหลาง สะพานสูง คันนายาว มีนบุรี และหลักสี่ และพื้นที่เขตอีก 7 เขต ประชาชนเลือกตั้ง ส.ข.ได้ 8 คน ได้แก่ บางเขน จตุจักร ดอนเมือง สายไหม ลาดกระบัง คลองสามวา และบางกะปิ โดยมีประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ 14 เขต จำนวน 1,468,354 คน จำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งสิ้น 2,100 หน่วย โดยสถิติการเลือกตั้ง ส.ข.ครั้งที่แล้วเมื่อวันที่ 30 เม.ย.49 มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งคิดเป็นร้อยละ 35.39 ทั้งนี้ กทม.ได้จัดสรร งบประมาณสำหรับใช้ในดำเนินการและประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ส.ข. 14 เขต ประมาณ 50 ล้านบาท พร้อมทั้งเน้นย้ำให้สำนักงานเขต เน้นการประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

กำชับ เขตดูแลการหาเสียงใกล้ชิด ลดการกระทบกระทั่งทางการเมือง



ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในการจัดการเลือกตั้งทุกครั้ง ได้เน้นย้ำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานยึดหลักความถูกต้อง ของกฎหมาย เคร่งครัดในคำสั่ง ระเบียบ อีกทั้งวางตัวเป็นกลางเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองอยู่ในภาวะขัดแย้ง พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ผู้อำนวยการเขตสอดส่องดูแลการหาเสียงของผู้สมัครและ ผู้สนับสนุน ไม่ให้มีการใส่ร้ายป้ายสี หรือกล่าวหาโจมตีซึ่งกันและกัน เพื่อไม่ให้มีประเด็นทางการเมือง เกิดการกระทบกระทั่ง จนกลายเป็นความขัดแย้งของกลุ่ม ตลอดจนติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตามจากการ สังเกตการณ์พบว่า ในการปิดป้ายโปสเตอร์หาเสียงครั้งนี้ มีหลายพื้นที่ที่ป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่ถูก"มือดี"พ่นสีโดยเขียนคำ โจมตี โดยอิงสถานการณ์ทางการเมือง เช่น ป้ายหาเสียงของพรรคประชาธืปัตย์ถูกพ่นสีสเปรย์ด้วยถ้อยคำว่า"หยุดฆ่า ประชาชน" หรือ"พวกฆาตกร" ขณะที่ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยถูกพ่นสีสเปรย์ว่า"ไพร่" หรือ"ชั่วเผากรุงเทพฯ" เป็นต้น

ดังนั้นจึงคาดว่า ผลจากสถานการณ์ทางการเมืองล่าสุดนั้น น่าจะเป็นปัจจัยที่มีผลสำคัญต่อการเลือกตั้ง 6 มิ.ย.นี้

หลังการสลาย การชุมนุมคนเสื้อแดงไม่เวทีในการแสดงพลังในการเมือง แต่ในวันที่ 6 มิ.ย 53 เรามีเวทีที่จะแสดงพลังทางการเมืองของเราแล้ว นั้นก็คือการเลือกตั้ง ส.ข ในกรุงเทพฯ แล้วเราจะแสดงออกอย่างไร มาซิตามผมมารับรองการแสดงพลังในครั้งนี้ไม่โดนจับหรอกแต่ต้องอาศัยพลังใจ หน่อยนะ เพราะเราต้องโดนกลุ่มคนที่คิดต่างจากเรามองด้วยสายตาเยียดหยาม

รณรงค์ ใส่เสื้อแดงไปเลือกตั้ง

ผู้อ่าน ของเรา ได้เขียนบทความฉบับหนึ่งขอรณรงค์การใส่เสื้อแดงไปเลือกตั้ง ส.ข ซึ่งเสื้อแดงที่ใส่นั้นผมไม่อยากให้ใส่เสื้อของ นปช.เนื่องจากจะเป็นการป้องกันตัวเราเพราะไม่รู้ว่า ไอ้เทือกจะมาไม้ไหนอีก(ขนาดกรณีฆ่าที่วัดประทุมมันยังกล้าบอกว่าเป็นฝีมือ ของโจรเลย แม้ต้องยอมรับว่ามันด้านจริงๆ)

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเมื่่อ เราใส่เสื้อแดงไปเลือกตั้งนั้นบางเขตจะเป็นเขตของกลุ่มคนที่คิดต่างจากเรา ก็คงต้องใช้ความอดทนมากหน่อย เพราะผมคิดว่าคงมีการพูดจาถากถางจากเขา ผมอยากให้พวกเราอดทนไม่ตอบโต้ เพราะเราไม่ได้รบกับประชาชนเรารบกับอำมาตย์ที่ทำให้เกิดสังคมสองมาตรฐาน เรารบกับพรรคประชาธิบัตที่มองเห็นเงินนายทุนเขาสำคัญกว่าชีวิตของพวกเรา และถ้าเราไปเถียงกับพวกเขามันจะทำให้เกิดการแตกแยกในภาคประชาชน เราต้องแสดงให้เห็นว่าถึ่งแม้ความคิดเห็นในทางการเมืองต่างกันก็สามารถอยู่ รวมกันได้ภายในสังคมเดียวกัน

อีกประการหนึ่งผมอยากให้พวกเราสร้าง วัฒนธรรมของคนไทยกลับมาอีกครั้งโดยการ กล่าวคำว่าสวัสดีเมื่อพบคนเสื้อแดงเหมือนกันซึ่งจะเป็นผูกมิตรไมตรีจากเสื้อ แดงกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง

ความหมายของการใส่ เสื้อแดงไปเลือกตั้ง

1. เพื่อแสดงให้สังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศรับรู้ว่าเรายังไม่ได้ละทิ้ง อุดมการณ์ของพวกเรา

2. เพื่อแสดงให้พวกมันได้เห็นว่า ถึ่งแม้พวกมันจะปกปิดความจริงและให้ร้ายเราขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้เรา ละทิ้งอุดมการณ์ที่กล้าแกร่งของพวกเราไปได้

3. เพื่อปลอบประโลมพี่น้องชาวต่างจังหวัดที่เสียขวัญในกรณีการสลายชุมชน ให้พวกเขาได้รับรู้ว่ายังมีพวกเราที่คอยเดินเคียงข้างกันอยู่เสมอและตลอดไป

4. เพื่อทำหน้าที่แทนวีรชนของเราที่ตายไป เพราะท่านตายเพราะต้องการประชาธิปไตย และต้องการใช้สิทธิในการเลือกตั้ง เมื่อมีการเลือกตั้งเราต้องไปใช่สิทธิแทนวีรชนของเรา

สุดท้ายผมขอ อนุญาตใช้ท่วงทำนองการพูดของคุณจตุพรในการกล่าวช่วงสุดท้ายในการปราศรัย เพราะท่านเป็นบุคคลที่ใช้ท่วงทำนองในการพูดได้มีพลังมาก ท่านผู้อ่านก็ขอให้จิตนาการว่าเป็นคำพูดของท่านจตุพร ก็แล้วกันนะ เอาเริ่มเลยก็แล้วกัน

ออกกันมา เถิดพี่น้อง ออกมาเพื่อแสดงพลังของพวกเรา
ออกมา เพื่อแสดงให้พวกมันรู้ว่ามันไม่สามารถลบล้างอุดมการณ์ของเราได้
ออกมา เถิดพี่น้อง ออกมาเสียสละร่วมกัน
ออกมา เพื่อทำหน้าที่แทนวีรชนของพวกเรา
ออก มาเถิดพี่น้อง ออกมาเพื่อสร้างประวัติศาตรอีกหน้าหนึ่งของเมืองไทย
ออกมา เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าเรายังมิได้ละทิ้งอุดมการณ์
ออกมาเถิดพี่น้อง ออกมาแสดงพลังประชนของเรา
ออกมา ออกมาเลือกคนของเรา
ออกมา เพื่อให้พวกมันรู้ว่าเราไม่เอาพวกที่เห็นซากตึกสำคัญกว่าชีวิตคน
ออกมา ให้มากที่สุดทำที่จะทำได้ ออกมาแสดงพลังของเรา ออกมา


อย่าง ไรก็ตามผู้อ่านบางท่านก็เห็นว่าไม่ควรใส่เสื่อแดงไปเลือกตั้ง เพราะอาจทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามหมั่นไส้ และนำไปขยายผล อาจเป็นผลเสียต่อผู้สมัครพรรคเพื่อไทยที่เสื้อแดงสนับสนุน
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop