ผู้สนับสนุน

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บท วิเคราะห์: คิดวิปริต ปิดประเทศ

บทความนี้เป็นผลงานของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เตรียมจะตีพิมพ์ใน Voice of Taksin ฉบับที่ 21 ก่อนที่จะถูกคำสั่งเผด็จการของศอฉ.สั่งปิดไม่ให้ตีพิมพ์จำหน่าย
การ ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมตามคำสั่งของผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล อภิสิทธิ์-สุเทพ อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดที่เริ่มจากวิกฤตเมษาเลือด 10 เมษายน 2553 มาจนถึง 19 พฤษภาคมนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะจบลงอย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่เฉพาะอยู่ในหัวใจอันงุนงงของคนไทยแต่เป็นคำถามที่อยู่ใน หัวใจอันงุนงงของคนทั้งโลกเพราะเป็นภาวะวิปริตทางการเมืองของประเทศในศตวรรษ ที่ 21 ที่กำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างประเทศด้อยพัฒนากับประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือเส้นแบ่งระหว่างประเทศที่มีฐานการผลิตเพื่อพออยู่พอกินกับประเทศที่มี ฐานการผลิตเพื่อการตลาด แต่แล้วประเทศไทยกลับถูกฉุดกระชากให้ถอยหลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตสงครามกลาง เมืองในรูปแบบของประเทศด้อยพัฒนาที่ทำการผลิตเพียงเพื่อพอกิน ปัญหาทั้งหมดมีคำตอบจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยแบบพอเพียง ที่มีกระบวนทัศน์ (Paradigm) แปลกประหลาดจากโลกแห่งยุคไซเบอร์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลวางแผนมาแต่ต้น แล้วคือ “ปราบและปิดประเทศ”

โลกแห่งอำนาจต้องคงที่ : วิถีคิดแนวจารีตนิยม
กระบวนทัศน์แห่งอำนาจของระบอบอำมาตย์ ที่มีแนวคิดการเมืองแนวจารีตนิยมคือไม่ยอมรับพัฒนาการของการเมืองในระบบโลก แห่งยุคแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ถนนทุกสายมุ่งสู่การรวมศูนย์อำนาจที่มหาชนใน ฐานะผู้บริโภคและแนวคิดจารีตนิยมทางการเมืองนี้ได้กลายเป็นรากเหง้าปัญหาของ ประเทศไทยในวันนี้ โดยลักษณะแนวคิดจะเห็นได้จากชนชั้นนำจะดูถูกสามัญชนคนรากหญ้าว่า “โง่ และไม่มีความเข้าใจประชาธิปไตย” และมองระบอบประชาธิปไตยว่า “เป็นระบอบที่เลวร้ายไร้คุณธรรม” แต่พวกเขาไม่อาจจะฝ่าฝืนกระแสโลกได้จึงวางแนวพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลาครึ่ง ศตวรรษ ให้อยู่ในแนวทางที่นักวิชาการแอนดรู วอล์คเกอร์ (Andrew Walker) จากออสเตรเลียให้นิยามว่าเป็น “ประชาธิปไตยพอเพียง” แต่นักวิชาการไทยใช้คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ” คือประชาธิปไตยสลับการรัฐประหารโดยเฉพาะเมื่อระบอบประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่า เริ่มมั่นคงขึ้นทุกครั้งก็จะเกิดการรัฐประหารตามมาเป็นสูตรที่คอการเมืองไทย สามารถทำนายได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงนักวิชาการเพราะเป็นเสมือนชีวิตประจำวันของ การเมืองไทยจนชาชิน และนั่นคือวิถีคิดการเมืองแนวจารีตนิยมที่เชื่อมั่น การปกครองแบบจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อๆกันมาโดยเน้นคุณธรรมทางจิตใจ มากกว่าปากท้องและการกินดีอยู่ดีของประชาชน

ลงทุนชีวิตมนุษย์ เพื่อรักษาอำนาจ
วิถีคิดแนวจารีตนิยมของระบอบ อำมาตย์คิดว่าโลกนี้ปั้นได้ดังใจนึกด้วยดินน้ำมัน ด้วยเพราะไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม

ความพยายามที่จะสร้างอำนาจด้วยระบอบประชาธิปไตยแห่งคุณธรรมตามโมเดลแนวคิด จารีตนิยมนี้ จึงก่อกำเนิดขึ้นจากแนวคิดข้างต้น แม้จำเป็นจะต้องลงทุนด้วยชีวิตของมนุษย์ก็ยอม ดังนั้นในอดีตจึงเกิดการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุด ดังเช่นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การบริหารจัดการของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี) โดยประกาศปิดประเทศ 12 ปี เพื่อจะใช้เวลา 12 ปีนั้น ปั้นเยาวชนให้มีอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดังใจนึก และในขณะเดียวกันก็ประกาศกวาดล้าง นักเรียน นักศึกษา ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งที่อยู่ในเมืองและหนีไปอยู่ในป่า ติดอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างถึงที่สุด จึงทำให้สถานการณ์สงครามประชาชนที่มีเชื้อไฟอยู่ในขณะนั้นปะทุรุนแรงขึ้น ทั่วประเทศ แต่แล้วแนวคิดปิดประเทศก็พังทลายลงด้วยการนำของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงเป็นที่ไม่พอใจของอำมาตย์แต่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ แล้วสถานการณ์สงครามประชาชนก็คลี่คลายลงเป็นลำดับด้วยนโยบายสมานฉันท์โดยพล เอกเกรียงศักดิ์ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักเรียนนักศึกษาทั้งหมดและให้ กลับคืนสู่ห้องเรียนได้ แล้วสังคมก็กลับสู่ความปรองดองเกิดพัฒนาการทางสังคมก้าวหน้าขึ้นต่อไป แต่เมื่อพัฒนาไปได้อีกระยะหนึ่งแนวคิดจารีตนิยมของระบอบอำมาตย์ก็หวาดวิตก ต่อวิวัฒนาการที่ทำให้สังคมขยายใหญ่โตขึ้นอีก จึงตัดสินใจเข้าขัดขวางพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ปรากฏหลักฐานชัดคือการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างใจคิด ด้วยเพราะโลกได้พัฒนาก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่ประชาชนหูตาสว่างยากที่จะครอบงำความคิดโดยง่าย จึงนำมาซึ่งวิกฤตประเทศ แล้วแนวคิดปิดประเทศเพื่อรักษาระบอบอำมาตย์ก็ยิ่งมีเหตุผลรองรับมากขึ้น

การล้อมปราบสังหารประชาชนตั้งแต่ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจึงมิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศใน ภาวการณ์พิเศษที่คนทั่วโลกรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น (แต่คนไทยถูกปิดตา ไม่ให้รู้เห็น) ดังนั้นเป้าหมายการกวาดล้างระบอบทักษิณหรือแนวคิดใหม่ในการพัฒนาประเทศจึง ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบมิใช่อุบัติเหตุ ด้วยเพราะแนวคิดของระบอบทักษิณได้แสดงออกชัดเจนนับแต่การถูกรัฐประหารว่าไม่ สยบยอม, ด้วยเหตุนี้ข้อสรุปว่าต้อง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” จึงเกิดขึ้น

เสื้อแดงยิ่งเติบใหญ่ยิ่งต้องกำจัด

“แม้ ผมตายผมก็ยังจะตามหาความยุติธรรม” คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้างต้น ยังก้องดังในโสตประสาทของระบอบอำมาตย์ให้เคียดแค้นและอาฆาต พ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดข้อสรุปที่จะต้องกำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน เพราะในอดีตไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนไหนที่ถูกรัฐประหารแล้วจะกล้าโงหัวขึ้นมา กล่าวเช่นนี้

การยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน การก่อจลาจลยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิประสานกับการใช้องค์กรศาลภายใต้นโยบาย “ตุลาการภิวัฒน์” ล้มรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือรูปธรรมยืนยันถึงข้อสรุปของระบอบอำมาตย์ที่จะต้อง “กำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน” ข้างต้น

การเติบใหญ่ ของขบวนการคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่เป็นธรรมทางสังคมการเมืองของระบอบ อำมาตย์ที่ใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน จึงเกิดการขยายตัวทั่วประเทศ แต่แทนที่ระบอบอำมาตย์จะรู้สำนึกตัวเองถึงความชำรุดบกพร่องของระบอบของตนก็ กลับตีความว่าเป็นผลมาจากเงินทักษิณที่อัดฉีดยุยง และการล้อมปราบฆ่าคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อ 12-13 เมษายน 2552 ซึ่งแทนที่คนเสื้อแดงจะหวาดกลัวและหยุดเคลื่อนไหวแต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นคนเสื้อแดงยิ่งขยายตัวทั้งประเทศ จนถึงขั้นเกิดการชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา ยิ่งเป็นผลให้ข้อสรุปของอำมาตย์ที่พร้อมจะฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงอย่างโหดร้าย ในฐานะ “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” และพร้อมจะปิดประเทศ จึงเกิดขึ้นอย่างสิ้นสงสัยในเหตุการณ์ล้อมปราบจาก 10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553 และการไล่ปราบปรามตามจับในขณะนี้

แผนเผด็จศึกเสื้อแดงเกิด ก่อนการชุมนุม หากใครได้ติดตามข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์และบทวิเคราะห์ต่างๆ ในช่วงตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2553 นี้ ข่าวจะกระชั้นถี่ขึ้นถึงแนวคิดของมหาอำมาตย์ว่า จะมีการจัดการประเทศใหม่ แม้จะมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นแสนก็ยอม แม้จะปิดประเทศก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร โดยเปรียบเทียบกับการดำรงอยู่ของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า

รูปธรรม ที่เป็นเชื้อมูลของความคิดนี้ที่เล็ดรอดออกมายืนยันได้จากคนใกล้ชิดของมหา อำมาตย์ เช่น การนำเสนอแนวคิดการเมืองใหม่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 2551 ที่เสนอโครงสร้างอำนาจหลักที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งคือระบบ 70:30 และคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คนใกล้ชิดพลเอกเปรมตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน “โลกวันนี้” วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า
“ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการสังคายนาและปฏิรูปประเทศไทยใหม่ โดยต้องหยุดปัญหาที่วุ่นวายไว้สักระยะหนึ่งเพราะกลไกของเราใช้ไม่ได้ อย่ามาพูดว่าสภาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเพราะที่มาของ ส.ส.ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ขอย้ำว่าต้องมีการปฏิวัติจริงๆ ไม่ใช่จอมปลอม ต้องไม่ให้เหมือนกับการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่เป็นการปฏิวัติที่ใช้ไม่ได้”

รูปธรรมที่ยืนยันความคิดนี้เกิดจากปฏิบัติการจริงแล้วคือการล้อมปราบฆ่า ประชาชนที่มาเรียกร้องการยุบสภาเมื่อ 10 เมษายน 2553 ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าที่ไพเราะว่า “ขอคืนพื้นที่” และการล้อมยิงประชาชนเหมือนล่าสัตว์ที่เริ่มต้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2553 ประเดิมด้วยพลแม่นผืนสังหาร “เสธแดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และติดตามมาด้วยการ “เล็งเป้าฆ่า” ตลอดสัปดาห์อย่างเมามัน ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าใหม่ที่ไพเราะกว่าเก่าว่า “กระชับพื้นที่”

หากเรานำข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมต่อก็จะพบความจริงว่าการล้อมปราบ ประชาชนอย่างโหดร้ายมิใช่ความจงใจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการจะยุติการชุมนุมตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” และสิ่งที่จะต้องติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการปิดประเทศ

ลำดับ เหตุการณ์ก่อนเกิดเมษา-พฤษภาเลือด 1. 26 กุมภาพันธ์ 2553 ลั่นระฆัง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” ด้วยคำพิพากษายึดทรัพย์ทักษิณและตามมาด้วยการเตรียมปราบการชุมนุมของคนเสื้อ แดงที่จะเริ่มต้น 12 มีนาคม 2553

2. เริ่มต้นประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงนำทหารในสายอำนาจของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบกที่ถูกกำหนดตัวให้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ออกมาทำหน้าที่แทนตำรวจ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่แกนนำ นปช.ประกาศเริ่มต้นการชุมนุม ทั้งๆที่ในต่างประเทศการควบคุมฝูงชนจะเริ่มต้นจากการใช้ตำรวจ

3. พฤติกรรมผิดสังเกตของทหาร ทหารที่ออกมามีอาวุธสงครามครบมือเตรียมปราบปรามโดยปิดบังหน่วยต้นสังกัดทั้ง หมดทั้งที่เครื่องแบบประจำตัวและยานพาหนะพร้อมทั้งปิดทะเบียนรถที่ขนส่งทหาร ออกมาประจำตามถนนและด่านตรวจต่างๆ ทั้งหมด

4. สร้างข่าวเตรียมสังหารคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรมด้วยการตั้งข้อหา “ขบวนการล้มเจ้า” โดยเริ่มต้นจากการเปิดวาทะกรรมปลุกระดมจากกลุ่มพันธมิตรก่อนเมื่อปลายปี 2552 ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV ว่า “ล้มเจ้า” ซึ่งสอดรับกับการปลุกระดมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในโทรทัศน์ช่อง 11 และการประกาศอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข่าวโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในนาม ศอฉ. นับจาก 7 เมษายน 2553

5. ประกาศเขตรอบโรงพยาบาลศิริราชเป็นพื้นที่ปลอดแดงเด็ดขาด และห้ามการเดินทางไปถวายพระพรของพสกนิกรโดยเด็ดขาดก่อนจะเริ่มต้นการชุมนุม ด้วยเช่นกัน โดยมีนัยยะสำคัญทางการข่าวจิตวิทยาว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ไม่จงรักภักดีเพื่อ โน้มน้าวให้สารธารณชนสนับสนุนแผนการฆ่าคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรม

6. อภิสิทธิ์-สุเทพ เล่นละครตอบรับยุบสภาอย่างเสียไม่ได้ ตลอดระยะเวลาเริ่มต้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 12 มีนาคม เรียกร้องให้มีการยุบสภานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ(ผู้บัญชาการรบที่รับคำสั่ง จากมหาอำมาตย์)ไม่เคยแสดงท่าทีตอบรับหรือเพียงแค่รับพิจารณาว่าจะยุบสภาเลย การเจรจาของรัฐบาลเรื่องการยุบสภา 2 ครั้ง กับแกนนำ นปช.จึงเป็นเพียงฉากละครมีนายสุเทพผู้อยู่เบื้องหลังเชิดนายอภิสิทธิ์ในฐานะ นายกฯ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ ในฐานะเลขานายกฯ และนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ อดีตคอมมิวนิสต์เก่าผู้มีประสบการณ์งานมวลชนขึ้นเล่นละครอย่างเสียไม่ได้ เท่านั้น และเมื่อการเจรจาล้มเหลวนายสุเทพ ก็แสดงความดีอกดีใจและยั่วยุด้วยถ้อยคำว่า “เมื่อไม่มีการเจรจารัฐบาลก็จะอยู่จนครบอายุ 1 ปี กับอีก 9 เดือน”

7. สร้างเงื่อนไขประกาศภาวะฉุกเฉิน อภิสิทธิ์-สุเทพ ได้วางแผน “ใช้ขนมหวานล่อมด” โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ประกาศจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภาในวันพุธที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งตรงกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยั่วยุให้คนเสื้อแดงปิดล้อมสภาเช่น เดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยทำเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ทั้งๆที่รู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องตามมาประท้วงนายอภิสิทธิ์อย่างแน่นอน เพราะสภาอยู่ใกล้กับการชุมนุมคนเสื้อแดง(ขณะนั้นอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า) และเป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ก็ใช้กรมทหารราบที่ 11 และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ห่างไกลการชุมนุมเป็นที่ประชุม ค.ร.ม.มาโดยตลอดแต่อยู่ๆก็อยากจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภา แล้วทุกอย่างก็เข้าแผนการร้ายนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่านายอภิสิทธิ์แถลงข่าวถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ พรก..ฉุกเฉิน จากเหตุการณ์บุกสภา แต่ในประกาศกลับไม่กล่าวอ้างเหตุการณ์การบุกสภาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร คงจะเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์รู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องการบุกสภาของคนเสื้อแดง นั้นยังขาดเหตุขาดผลอยู่

รูปธรรมการถอนรากถอนโคนทักษิณเหตุการณ์ ใช้หน่วยสแนปเปอร์ลอบยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงในหัวค่ำของคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นการจุดพลุส่องสว่างให้เห็นถึงความแค้นของระบอบอำมาตย์อันไม่อาจจะปกปิด ได้อีกแล้ว นับแต่นั้นทหารหน่วยพลแม่นปืนที่เป็นกองกำลังหน่วยสำคัญของพลเอก สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นคู่อาฆาตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อนก็เปิดฉากไล่ยิงประชาชนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายและ พวกล้มเจ้าเป็นผลให้ประชาชนผู้สุจริตบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ล่วงแล้วตามมา ด้วยการล้อมฆ่าปิดท้ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม เขตอภัยทาน ด้วยเข้าใจว่าผู้ก่อการร้ายหนีเข้าไปในวัด จนสตรีที่เป็นอาสาสมัครพยาบาล นางกมนเกด อัคฮาด เสียชีวิต และการติดตามจับบุคคลที่รัฐบาลอภิสิทธิ์หมายหัวทำบัญชีไว้ว่า “ฮาร์ดคอร์” ของทักษิณก็ตามมา รวมทั้งการประกาศควบคุมบัญชีเงินธนาคารของประชาชนอีกจำนวนมากรวมทั้งควบคุม เงินของนักหนังสือพิมพ์อย่างนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บก. VOICE OF TAKSIN รวมทั้งการออกไล่ล่าปิดหนังสือพิมพ์ของฝ่ายเสื้อแดง และจับนายสมยศและ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาคประวัติศาสตร์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง

ความรุนแรงเกินคาดแต่ ไม่เกินแผน สิ่งที่ระบอบอำมาตย์คาดไม่ถึงว่าประชาชนคนรากหญ้าจะมีจิตสำนึกทาง ประชาธิปไตย และเข้าใจกลไกธุรกิจของอำมาตย์มากขึ้น จนถึงขั้นกล้าต่อสู้กับพวกเขาอย่างถึงที่สุด นั่นคือรูปธรรมที่เป็นจริง เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่มีทั้งเด็กผู้หญิง และคนแก่บริเวณหน้าเวทีที่ราชประสงค์ แต่ประชาชนกลับประกาศสู้ตายและเสียใจร้องไห้ที่แกนนำยอมจำนนแล้วนับจากนั้น พวกเขาที่ไร้จัดตั้งก็กระจายกันโจมตีเผาสถานที่ทางการค้าต่างๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นของพวกอำมาตย์หรือที่เหล่าอำมาตย์ใช้อภิสิทธิ์ทางการ เมืองคุ้มครองธุรกิจให้ รวมทั้งฝ่ายอำมาตย์ก็สวมรอยหนุนการเผาด้วยเพื่อจะได้เกิดความชอบธรรมในการ ไล่ฆ่าพวกเสื้อแดง เช่น ศูนย์การค้าสยาม ศูนย์การค้าเวิร์ลเทรด ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ และไม่เว้นแม้แต่ตึกโทรทัศน์ช่อง 3 ที่เป็นตัวแทนของสื่อที่สนับสนุนระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐาน ก็ไหม้เป็นจุล และการก่อจลาจลได้กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพ และทั่วประเทศ ศาลากลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐอำมาตย์จึงเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตี ซึ่งสภาพความรุนแรงและมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน เมืองไทย

เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกินความคาดหมาย แต่ไม่เกินแผนของอำมาตย์ที่ประเมินไว้
ปิดประเทศ เป็นความชอบธรรม ทางออกของสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว คือการประกาศปิดประเทศอย่างเป็นทางการ เพราะโดยเนื้อแท้ของสถานการณ์วันนี้คือการปิดประเทศแล้ว

การ ประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม อย่างเชียงใหม่ และอุดรธานี เป็นต้นรวมเกือบครึ่งประเทศรวมทั้งการปิดเว็บไซด์ และการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะการปิดวิทยุชุมชนเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของรูปธรรมการปิดประเทศ และเป็นรูปธรรมที่บ่งบอกว่าจะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเวลาสำคัญที่สุดของการผลัดเปลี่ยนอำนาจของรัฐไทยใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว การปิดประเทศเพื่อควบคุมความเป็นเอกภาพแบบโบราณ คือ เอกภาพแห่งอำนาจ เอกภาพแห่งความเงียบสงบ จะต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับเหตุการณ์สำคัญ

เอกภาพ แห่งอำนาจ และเอกภาพแห่งความเงียบสงบจะมาในรูปแบบการรัฐประหารแนวใหม่ แต่เนื้อหาแนวเดิม

ถ้อยคำที่เรียกขานอำนาจใหม่ก็จะ ไพเราะไม่แพ้คำว่า “กระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่” เช่น สภาสมานฉันท์แห่งชาติ เป็นต้น

ภาพการปิดประเทศจะยิ่ง เด่นชัดขึ้นเมื่อใกล้เดือนกันยายน และยิ่งๆเด่นชัดเมื่อเห็นภาพผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ที่มีนามว่า “ป” ปลาตาขวาง ขึ้นแทน “ป” ป๊อกไม่ปฏิวัติ

สื่อเล็กๆ อย่าง VOT ขอพยากรณ์ฟันธงตามคำขวัญของเราที่ว่า “อ่านคุณภาพใหม่ที่สื่อใหญ่ไม่กล้าตีพิมพ์”
ปิดประเทศเป็นความจำเป็นและความชอบธรรมที่ระบอบอำมาตย์ประเมินไว้เป็นจริง แล้ว
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop