ผู้สนับสนุน

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พบ แล้วสาวแดงสุดท้าย-เวทีม็อบ ผุสดี งามขำ นั่งรอจนทหารบุก


เจอแล้ว - น.ส.ผุสดี งามขำ อดีตพยาบาลซึ่งเป็นเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งอยู่หน้าเวทีแยกราชประสงค์
เปิด ตัวให้สัมภาษณ์ถึงการปักหลักอยู่หน้าเวทีเป็นคนสุดท้าย
กระทั่งทหารเข้า ยึดพื้นที่ทั้งหมดในช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค. จึงยอมถอยออกมา


พบ ตัวแล้วสาวเสื้อแดงที่ปักหลักเวทีราชประสงค์คน สุดท้ายเจ้าตัวเผยออกจากพื้นที่ชุมนุม
เพราะตามนักข่าวต่างประเทศออกไป มั่นใจมีคนตายมากกว่านี้
เพราะมีเสื้อแดงเข้าไปหลบในเซ็นทรัลเวิลด์ จำนวนมาก โวยรัฐบาลยัดข้อหาก่อการร้ายให้ผู้ชุมนุม
ด้านน้องชายแท็กซี่ เหยื่อปืนถูกยิงเสียชีวิตโวยทหารฆ่า
ระบุพี่ชายถูกยิงระหว่างเดินผ่านก ลุ่มฮาร์ดคอร์บริเวณสวนลุมพินี กระสุนเจาะหน้าอกตายสุดอนาถ
ยืนยันไม่ ได้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง ด้านมูลนิธิกระจกเงาเผยยอดคนหายในช่วงกระชับพื้นที่ 39 ราย
ส่วนสาว เสื้อแดงคนสุดท้ายที่อยู่ในเวทีราชประสงค์ญาติยังไม่ได้มาแจ้ง

ความ คืบหน้ากรณีหนังสือพิมพ์ข่าวสด
เดินหน้าเปิดเผยความเป็นมาของผู้เสีย ชีวิตจากเหยื่อปืนในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. ซึ่งพบว่าไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายตามที่มีการกล่าวหา หากแต่เป็นประชาชนชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ที่ไปร่วมชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง หรือไม่ก็โชเฟอร์แท็กซี่ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิ พยาบาลอาสา เป็นต้น อีกรายที่ตกเป็นเหยื่อปืนจนเสียชีวิต ได้แก่ นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายนพดล นิลเหลือง น้องชายของนายเสน่ห์ ว่า
ในวันเกิดเหตุตนและพี่ชายกำลังจะนำ รถแท็กซี่ไปเปลี่ยนกันที่บ้านพี่สาว บริเวณแฟลตตำรวจสน.ลุมพินี ในเวลาประมาณ 17.00 น. ตนโทรศัพท์คุยกับพี่ชายที่กำลังเดินทางมาบ้านพี่สาว พี่ชายบอกว่า ถนนถูกปิดหมด พี่ชายจึงลงรถที่คลองเตยแล้วเดินมา แต่เมื่อมาถึงแยกบ่อนไก่มีทหารกั้นไม่ให้เข้า พี่ชายจึงเดินเลาะมาทางสวนลุมไนท์ บาซาร์ ขณะที่ตนกำลังขับจักรยานยนต์จะไปรับพี่ชาย มีคนโทร.มาบอกว่าพี่ชายโดนยิงที่หน้าอก นัดเดียวตัดขั้วหัวใจทะลุหลัง ตอนที่ทราบข่าวก็ไม่คิดว่าพี่ชายจะถึงขั้นเสียชีวิต อาวุธที่ใช้คล้ายกับอาวุธสงคราม ไม่น่าจะใช่ปืนลูกซอง ตอนนั้นทหารอยู่บริเวณสนามมวย ส่วนพี่ชายผมอยู่ด้านหลังของแนวร่วมกลุ่มฮาร์ดคอร์ พี่ชายผมยังไม่ทันเดินผ่านแนวฮาร์ดคอร์ ก็โดนยิงเสียก่อน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นฝ่ายยิง แต่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก็ไปดูจุดที่เกิดเหตุการณ์ เห็นรอยกระสุนที่สะพานลอย ราวเหล็ก มาจากแนวทหารทั้งนั้น

"ผมเลยคิดว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในแนวทหาร ทำไมทหารไม่จัดการ แล้วพี่ชายผมไม่มีอาวุธ ทำไมคุณถึงต้องยิงคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือด้วย" นายนพดลกล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ปกตินิสัยของพี่ชายเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพียงแต่วันนั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวพอดี พี่ชายอยู่กับแฟนและลูกติด อีก 4 คน อยู่กินกันมาหลายปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ภาระจะอยู่ที่การส่งเสียค่าเล่าเรียนลูกเลี้ยงคนเล็ก และครอบครัวของพี่ชายหลังจากการเสียของพี่ชายเองน่าจะมีปัญหา เนื่องจากรายได้ของแฟนพี่ชายมีเพียงไม่กี่พันบาทจากอาชีพแม่บ้านชั่วคราว ที่มีงานก็ได้เงิน แต่ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีรายได้อะไรเลย แต่โชคดีอยู่บ้างตรงที่พี่ชายเป็นคนสมถะ จึงไม่ได้ทิ้งหนี้สินอะไรไว้ให้กับครอบครัวหรือญาติพี่น้อง

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบทางจิตใจของคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง ตนทำใจได้บ้างแล้ว แต่พี่สาวคนโตและน้องสาวคนเล็ก จนถึงตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ พอเวลาเข้านอนครั้งใด ร้องไห้ตลอดเวลา เนื่องจากมีความผูกพันกันมาก ถึงตอนนี้การช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่มีติดต่อเข้ามา ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ หรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงตนที่ติดต่อเรื่องเข้าไปเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แต่ส่วนอื่นมีช่วยเหลือมาแล้ว คือสำนักพระราช วัง และพรรคเพื่อไทย

"แต่ ที่ยังค้างคาใจมาจนถึงวันนี้ คือวันที่เกิดเหตุนั้น สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นพื้นที่เสี่ยงไม่สามารถเข้าไปแจ้งความได้ หลังจากวันนั้นจึงเข้าไปแจ้งความอีกครั้ง ตำรวจกลับบอกว่ามีคนแจ้งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าใคร ไม่ใช่ญาติพี่น้อง และไม่มีหลักฐานใดๆ ขอดูหลักฐานการแจ้งความก็ไม่ให้ดู ร้อยเวรประจำวันก็หลบหน้า แค่อยากรู้ว่าคนที่แจ้งความเป็นใคร เพราะรับไม่ได้ที่แจ้งว่าพี่ชายเป็นพวกฮาร์ดคอร์ เป็นพวกเสื้อแดงหัวรุนแรง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ตรงนี้ยอมรับไม่ได้ สิ่งที่เรียกร้องอย่างเดียว ไม่ใช่เงินทอง แต่อย่ามาพูดว่าที่พี่ชายเสียชีวิต เพราะเป็นพวกก่อการร้าย มันไม่ใช่ความจริง รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ว่าทำผิดพลาดลงไป ต้องแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป" นายนพดลกล่าว

วันเดียวกัน นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า ขณะนี้มูลนิธิได้รับแจ้งคนหายจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พ.ค. แล้ว 42 ราย ตามหาพบแล้ว 3 ราย และญาติไม่ประสงค์ตามตัวต่อ 1 ราย ทั้ง 3 รายที่ตามตัวพบแล้ว ส่วนหนึ่งไปอยู่ที่อื่น และขาดการติดต่อไประหว่างเหตุชุลมุนในการกระชับพื้นที่ อีกส่วนถูกจับกุมและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมา ส่วนการเปิดเผยรายชื่อคนหายที่ได้รับแจ้งนั้น หากมีผู้สอบถามมา มูลนิธิก็ยินดีให้ข้อมูล และมูลนิธิกำลังเปิดรับอาสาสมัครมาช่วยงาน เพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานติดตามคนหายอยู่เพียง 2 คน ทำให้การทำงานค่อนข้างลำบาก

ส่วนกรณีของนางผุสดี งามขำ หญิงเสื้อแดงที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์เป็นคนสุดท้าย และหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าหายไปไหนหลังการกระชับพื้นที่นั้น นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีญาติของนางผุสดี มาแจ้งความคนหายกับมูลนิธิแต่อย่างใด

นายเอกลักษณ์ เปิดเผยต่อว่า ในการติดตามคนหายจากสาเหตุทางการเมืองนั้น มูลนิธิจะแบ่งเป็นผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต ผู้ถูกจับกุมคุมขัง หรือผู้ที่ขาดการติดต่อไป ซึ่งกรณีของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ขณะนี้มีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงส่วนของผู้ถูกคุมขัง ที่ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อส่วนนี้ออกมา มูลนิธิจึงพยายามเรียกร้องต่อหน่วยงานที่มีอำนาจในการจับกุมคุมขังให้เปิด เผยรายชื่อส่วนนี้ หากรายชื่อคนหายที่ได้รับแจ้ง ไม่ตรงกับรายชื่อของผู้ถูกคุมขัง มูลนิธิจะได้ติดตามในแนวทางอื่นต่อไป มูลนิธิเคยแจ้งเรื่องนี้ไปกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แล้ว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงไปมาตลอดเวลา

"เราเป็นองค์กรพัฒนา เอกชน ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ไปขอดูเอกสารการใช้อำนาจ เรายินดีที่จะจับมือกับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายเสื้อแดง ฝ่ายรัฐ ฝ่ายทหาร ทั้งหมดน่าจะจับมือกันเป็นคณะกรรมการร่วมกัน เพราะถ้าทำเป็นรูปคณะกรรมการ แต่ละหน่วยก็จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีกว่าเราที่เป็นองค์กรเอกชนธรรมดา ซึ่งบางทีจะไปขอข้อมูลจากศอฉ. ข้อมูลของฝ่ายทหาร ว่ามีคนถูกจับกุมกี่คนก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีรัฐมาเป็นคณะกรรมการทำงานด้วยทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น" นายเอกลักษณ์ กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรค

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบผู้หญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งถือธงอยู่คนเดียว หน้าเวทีปราศรัย สี่แยกราชประสงค์ ระหว่างกำลังทหารบุกเข้ามากระชับพื้นที่ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ค. โดยหญิงคนดังกล่าวทราบข่าวจากประชาชนว่ายังมีชีวิตอยู่ที่บ้านย่านฝั่ง ธนบุรี คือ นาง ผุสดี นาคคำ อดีตพยาบาล อายุ 54 ปี

นางผุสดี เปิดเผยนาทีระทึกช่วงทหารบุกมาถึงตัวว่า อดีตตนเคยเป็นแฟนคลับของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่เริ่มเห็นว่าสิ่งที่ทั้งนายสนธิ และรัฐบาลทำนั้นไม่ถูกจึงหันเหมาต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดง เป้าหมายเพียงเพื่ออยากให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่เท่านั้น วันที่ 13 มี.ค. ตนก็เริ่มเข้าร่วมชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ จนย้ายมาที่ราชประสงค์ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตลอด 2 เดือน เพราะต้องนอนอยู่กลางถนนทั้งที่ไม่เคยคิดเลยว่า แค่เรียกร้องให้ยุบสภาจะต้องมีคนมาล้มตายมากขนาดนี้

นางผุสดี กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.นั้น หลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตนเดินไปหน้าเวทีเพราะไม่เห็นด้วยที่มายุติตอนคน เสื้อแดงตายไปมากแล้ว ถ้าเลิกกลางคันแบบนี้ คนที่ตายก็ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายทันทีตนคิดเพียงว่า เพื่อคนเสื้อแดงไม่ต้องตายเปล่า ควรรวมตัวกันอยู่ที่เวทีอย่างสงบเพื่อให้โลกรู้ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้ ก่อการร้าย แต่หลังจากเสียงระเบิดและเสียงปืนดังใกล้เวทีต่อเนื่องแกนนำทั้งหมดก็วิ่ง หนีไปมอบตัว ส่วนผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ก็หนีไปด้วย จึงตั้งใจว่าเมื่อครั้งหนึ่งเคยให้สัญญากับแกนนำคนหนึ่งไว้ว่า "คนเสื้อแดงจะอยู่และตายร่วมกัน" จึงตัดสินใจอยู่เพื่อรอจนกว่าทหารจะมาจับหรือยิงตนทิ้ง

น.ส.ผุสดี กล่าวต่อว่า ตนตัดสินใจนั่งถือธงแล้วนั่งจ้องไปทางแยกประตูน้ำเพราะคิดว่าทหารจะเข้ามา ทางนั้นโดยมีนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ รอบตัวมีควันไฟเสียงปืนและเสียงระเบิดเป็นระยะๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่แผ่เมตตาเพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบ แต่หลังจากนั้นมีทหารกลุ่มหนึ่งผูกผ้าพันคอสีเหลืองจำนวนหลายสิบนายเดินเข้า มาทางฝั่งเพลินจิต นักข่าวกลุ่มที่ยังอยู่ก็กรูเข้ามาสัมภาษณ์ตนเพื่อเหมือนกับจะบอกให้ทหารรู้ ว่ามีนักข่าวอยู่ จะได้ไม่กล้าทำอะไร แต่ทหารกลุ่มนั้นก็มาเพียงขอให้กลับบ้านไปและไม่ได้มีท่าทีคุกคาม ซึ่งเมื่อมานั่งคิดดูแล้วได้ปักหลักอยู่สู้จนทหารบุกเข้ามาเจอตนคนสุดท้าย แม้รอดชีวิตแต่ภารกิจก็ถือว่าสิ้นสุด จึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อที่อยู่ในกระเป๋าจากแดงเป็นสีขาวแล้วเดินตามนักข่าว ต่างประเทศกลุ่มนั้นออกมาทางเพลินจิต ตลอดเส้นทางเห็นกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ฝั่งถนนเพลินจิตไว้ได้ทั้งหมดมี ทั้งรถทหาร และรถดับเพลิง รถคุมขังแต่น่าแปลกที่ทหารเหล่านี้กลับไม่นำรถ ดับเพลิงมาดับไฟที่ลุกไหม้อยู่ และนอกจากตนแล้วยังมีหญิงอีก 2 คนนั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ ซึ่งตอนที่ตนออกมานั้นทั้งคู่ก็ยังอยู่ ขณะนี้ไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นอย่างไร

"ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีอีกหลาย คนที่สูญหายไป เพราะเชื่อว่าที่ใต้ถุนเซ็นทรัลเวิลด์นั้นยังมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่งวิ่ง เข้าไปหลบภัย" นางผุสดีกล่าว

นางผุสดี กล่าวด้วยว่า ความรู้สึกของคนเสื้อแดงตอนนี้อยู่ในภาวะที่เจ็บช้ำ สังคมเชื่อในสิ่งที่เขาใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่เราเป็นคนไทยที่หลงผิดว่าบ้านเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ที่แท้เป็นเผด็จการ ทั้งยังเสียใจที่คนเสื้อแดงต้องมาตายอย่างโจร รัฐบาลก็ออกมาซ้ำเติมตลอดวันนี้ พวกเรายังมีอุดมการณ์อยู่ในใจ รอโอกาสที่จะออกมาเรียกร้องใหม่และการต่อสู้ครั้งใหม่ไม่ได้เพื่อการทำลาย ล้าง แต่เพื่อให้สังคมรู้ความจริงที่เกิดขึ้น คนเสื้อแดงทุกคนเหมือนคนป่วยหนักที่ต้องพักฟื้น แต่ยังไม่ยอมแพ้ คนที่เผาบ้านเผาเมือง ตนเชื่อมั่นว่าคนพวกนั้นต้องไม่ใช่คนเสื้อแดงเพราะคนเสื้อแดงที่แท้จริงรัก สงบ

"สำหรับแกนนำนั้นก็ไม่ได้โกรธที่หนี แต่ไม่พอใจที่พยายามหลอกตัวเองว่าจะมีกองกำลังจากยูเอ็นมาช่วย ทั้งที่ความจริงเป็นไปไม่ได้ แต่แกนนำพยายามนำเรื่องนี้มาสร้างฝันให้คนที่ยังสู้อยู่ทั้งที่ยอมรับ ตั้งแต่แรกว่าไม่มีกองกำลังนี้ คนเสื้อแดงจะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมรับมือกับเหตุที่จะเกิดอย่างไรและอาจจะ สูญเสียน้อยกว่าที่เกิดขึ้น" นางผุสดี กล่าว
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop