ผู้สนับสนุน

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เขาจับและสอบผมยังไง ผมสวนกลับDSIยังไง


นี่ เป็นเศษเสี้ยวหนึ่ง ของเหตุการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยวิธีธรรมดา ซึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่วิธีธรรมดาเช่นนี้ ในประเทศนี้ก็ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เขาจับผมยังไง ตอนที่ 1 เรื่องจริงจาก ปรวย salty head

ปลายเดือนพฤษภาคม

วันนี้ตั้งใจขับรถออกไปซื้ออะหลั่ยจักรยาน เพื่อจะทำรถให้ดี อยากขี่ไปต่างจังหวัด
กะว่าจะตลุยเหนือ อีสาน ขี่จักรยานไปคุยกับพี่น้องที่บอบช้ำกลับไปจากการชุมนุม
อยากไปถ่ายรูปเผื่อมาทำสารคดี เพื่อให้ชาวบ้านมีพื้นที่ในการพูดบ้าง

กินข้าวอาบน้ำเสร็จ ราวบ่ายโมงกว่าๆ ขับรถออกไปจากหมู่บ้าน

ออกไปได้ไม่ไกล เรียกว่าแถวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละ
มีรถคันนึงกำลังกลับรถอยู่ข้างหน้า ทำให้รถคันข้างหน้าผมติดคาอยู่

ปรากฏว่าผู้หญิงคนที่กำลังกลับรถ กลับจอดรถลงมาเปิดฝากระโปรงหน้า
ผมนึกในใจอ้าวรถเสียนี่หว่า แถมจอดคาถนนด้วยสงสัยแบ็ตฯหมด

นึกได้ว่าในรถผมมีสายชาร์ท กำลังจะขยับรถเบี่ยงออกซ้าย เพราะเห็นรถคันหน้าผมจอดเฉยๆ
กลับมีรถทางซ้ายวิ่งขึ้นมาด้านข้างรถผม ทำให้ขยับไม่ได้ นึกด่าในใจ
ไอ้ห่าจะไปช่วยเข้าชาร์ทแบ๊ตเสืออกมาขวาง ผมขยับจะเปิดประตู

ก็มีชายวัยประมาณ 50 ใส่สูทเดินมาข้างรถ ตอนแรกนึกว่าคนบ้า
เพราะอากาศร้อนขนาดนี้เสือกใส่สูทกลางถนน แต่ที่ไหนได้ ชายคนนี้เปิดด้านในเสื้อให้ดู
มีปักคำว่า DSI ! จึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมไขกระจกลง ชายคนนั้นถามว่าปรวยใช่มั๊ย ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธ
และผมเคยคิดไว้แล้วว่าถ้าโดนจับ ผมจะไม่แถแน่ๆ แต่จะพูดความจริง

ผมบอกใช่ ชายคนนั้นบอกขอเข้าไปคุยในรถ ผมบอกงั้นเดี๋ยวผมเรียกทนาย
ชายคนนั้นรีบบอก อ๋อนี่จะเอาแบบ formal (เป็นทางการ) ใช่มั๊ย?

ผมเปิดประตูให้เขามานั่งในรถ เขาเอาหมายค้นให้ดู

ผมดู ศาลแม่งขยันฉิบหายอออกหมายค้นให้วันอาทิตย์ (วันที่เขามาจับผมวันจันทร์ที่ 31 )
ชายคนนั้นถามผมว่า ผมไปโพสต์รูปอะไรในเว็บ ตอนนั้นผมนึกว่าเขาหมายถึงภาพตัดต่อ

แว็บแรกผมนึกถึงรูปลิง ซึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นกฏหมายหมิ่น รูปอะไรแบบนั้นน่าจะเข้าข่าย
นั้นทำให้ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยโพสรูปแบบนั้นแน่ๆ ผมเลยบอกไปว่าไม่มีอ่ะ ผมไม่เคยโพสรูป

เดี๋ยวตอนหลังผมจะเฉลยว่าเขาหมายถึงรูปอะไร ท่านทั้งหลายคอยกลั้นหัวเราะให้ดีก็แล้วกัน

เขาบอกผมอีกว่าคุณทำผิดเรื่องความมั่นคง ผมเลยฟิวส์ขาดแต่เก็บอารมณ์ไว้ได้หน่อยนึง
เลย สวนไปว่าความมั่นคงบ้าอะไรของพวกคุณ คุณแม่งเอาความมั่นคงของประเทศชาติไปผูกไว้กับครอบครัวครอบครัวเดียว แบบนั้นไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศ ตำรวจนายนั้นเลยชะงักไปหน่อย
ผมคิดว่าเขาคงนิดในใจว่า งานนี้ไม่หมูแน่ๆ

จากนั้นเขาบอกให้ผมกลับเข้าไปในบ้าน ให้แกล้งบอกยามว่ามาปาร์ตี้กัน เดี๋ยวจะมีรถเจ้าหน้าที่
ตามมาอีกสี่ห้าคัน ผมถึงรู้ว่าไอ้รถที่รายล้อมผมอยู่นั้นเป็นรถ DSI ทั้งหมด

ตอนนั้นผมนึกในใจ ไอ้เห ี้ยนี่กูคงไปฆ่าใครตายมั้ง แม่งถึงแห่กันมาขนาดนี้

ถึงบ้านตอนแรกผมก็ยังกวนตีนอยู่ บอกยังไม่ให้เข้าบ้าน เดี๋ยวจะเรียกทนาย
ตอนนั้นผมโมโหมาก เลยโวยวายไปว่าอ้อนี่เห็นว่ามีอำนาจจาก พรก.
เลยจะใช้ปืนกดหัวประชาชนหรือไงวะ บอกให้ก็ได้ผมไม่ได้โง่ ไม่ใช่ตาสีตาสานะ

เจ้าหน้าที่ผู้หญิงรับบอกว่าไม่มี ไม่มีใครมีปืน
เบ็ดเสร็จผมนับคร่าวๆ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่มาที่บ้านผม ประมาณราวๆ เกือบยี่สิบคน
ไอ้เห ี้ยนี่กูคงไปฆ่าใครตาย จริงๆแน่เลย ทำไมกูไม่รู้วะ?!?

หลังจากนั้นแม่กับป้าก็บอกให้ผมใจเย็นๆ ผมเลยเย็นลง เลยเอ้า อยากค้นอะไรก็ค้นไปตามสบาย
เจ้าหน้าที่ก็เริ่มค้นในรถในบ้าน โดยมีผมตั้งใจเดินกวนตีนตามตลอด ซึ่งมันก็น่าจะกวนตีน

เขาถามหาโน้ตบุ๊คผม ผมก็พาขึ้นไปบนห้อง ให้ไปทั้งตัวเก่าและตัวใหม่

บน ห้องนอนผมจะมีชั้นหนังสือสูงจากพื้นจรดเพดานเต็มผนัง อัดแน่นไปด้วยหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คและดีวีดี ซึ่งก็เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่ DSI ตัวหัวหน้าคนที่เข้าชาร์จผมคนแรกในรถ ไปเห็นหนังสือ การปฏิวัติฝรั่งเศสสามเล่ม

2 เล่มเป็นของอาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัยเขียน อีกเล่มเป็นของหม่อมเจ้าอทิตยาฯ อะไรสักอย่างผมลืมชื่อไป แกก็ดูตื่นเต้นบอกนี่ไงๆ ผมบอกอะไรนี่มัน พศ. สองห้าห้าสามนะครับ ไม่ใช่สองห้าหนึ่งเก้า จะได้มีความผิด หนังสือแบบนี้เขาขายกันทั่วไป แกก็หัวเราะบอกว่าเปล่าไม่มีอะไร แกบอกลูกน้องให้เอาไปด้วยเพื่อจะได้รู้แนวคิด ! แต่ลูกน้องก็ลืมหยิบไป

ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังค้นของอยู่นั้น ตัวหัวหน้าและอีกคนก็พยายามคุยกับผมดีๆ ผมก็คุยดี
แต่ผมก็พูดตรง เพราะโอกาสแบบนี้คงไม่มีบ่อยนักที่ผมจะได้พูดตรงๆกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

แก บอกว่าอ่านหนังสือเยอะนะ ผมบอกครับก็เพราะผมอ่านเยอะไง ผมถึงรู้อะไรเยอะ รู้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก รู้ว่าทำไมตอนนี้มันถึงสองมาตรฐาน รู้ว่าทำไมตอนยึดทำเนียบปิดสนามบิน ไม่มีใครทำอะไร

มาตอนนี้แม่งไล่ฆ่าประชาชน ตำรวจหัวหน้าแกก็หัวเราะแล้วหันมาพยักเพยิดกับผมบอกว่าเนอะ
ตอนนั้นตายสองคนตำรวจโดนสอบ ตอนนี้ตายแปดสิบกว่าคนไม่เป็นไร

ผมไม่รู้แกพูดเพื่อให้ผมรู้สึกมีพวกหรือแกรู้สึกจริงๆผมก็ไม่ทราบได ้ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ

พอลงมาข้างล่างมาที่โต๊ะทำงาน คราวนี้หนังสือบนโต๊ะยิ่งเป็นที่สนใจของ DSI มากขึ้น
4-5 เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นล้วนเป็นหนังสือของท่านปรีดีทั้งสิ้น

เท่าที่จำได้เล่มนึงเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี ผมกำลังสนใจเรื่องนี้
สนใจเรื่องสวัสดิการสังคมที่ท่านคิดมาตั้งแต่ก่อนปี 2500 แต่กลับถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ผมว่ากำลังจะหาแง่มุมมาทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำแบบให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องปีนกะไดฟัง
ปีนกะไดดู

อีกเล่มก็เป็นของคุณสุพจน์ด่าน ตระกูล เขียนเรื่องปรีดีหนี ส่วนอีก 2- 3 เล่มจำไม่ได้
แต่ทั้งหมดนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่รวบไป เลยได้ทีผมกวนตีนอีก

ผมพูดแบบหัวเราะเยาะเย้ยเช่นเดิมว่า เฮ้ยหนังสือปรีดีนี่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ขายกันใต้ดินแล้วนะ
ไปงานสัปดาห์หนังสือนี่วางขายกันเยอะเลยนะ ประมาณนี้ที่ผมพูด


เมื่อ ได้ของจนพอใจ (จริงๆเจ้าหน้าที่ก็กวาดสาดๆไป ซีดีบนโต๊ะที่พวกคนทำงานกับผมเอางานมาส่งก็กวาดไปด้วย สงสัยจริงๆว่าจะเปิดดูทุกแผ่นหรือเปล่า)

จากนั้นก็ให้ผมเซ็นรับ ปิดผนึกอย่างดี บอกว่าจะเปิดก็เมื่อเปิดต่อหน้าผมเท่านั้น
เอาของไปเก็บไว้แล้วจะนัดผมไปเปิดซองตรวจของกันทีละชิ้น ผมก็เซ็นๆไป

แต่ ผมบอกว่า โน๊ตบุ๊คของน้องสาวผมไม่เกี่ยวช่วยกรุณาเอามาคืนเขาไวๆด้วย เพราะเขาไม่เกี่ยวและจริงๆก็ไม่ควรเอาไปด้วย แต่ตำรวจหัวหน้ารีบบออกว่าไม่ได้ต้องเอาคอมไปให้หมดเพื่อตรวจสอบ

โชคดีผมไม่ได้บอกว่าผมมีเครื่อง Imac รุ่นแรก กับ mac LCII รุ่นจอขาวดำที่ผมเก็บสะสมอยู่ด้วย
ถ้าบอกคาดว่าแกคงให้ลูกน้องเอาไปด้วย

จากนั้นเขาก็บออกให้ผมไปที่ DSI ผมถามว่าจะควบคุมตัวผมเลยหรือไม่ ผมจะได้เตรียมตัว

เจ้า หน้าที่รีบบอกว่าเปล่าแค่ไปสอบสวน ขับรถไปได้เลยเอาแม่ไปด้วย ผมบอกแถวนั้นมันหลายประตูผมกลัวเข้าไม่ถูกถ้าเลยแล้วกลับรถไกล ให้ตำรวจมานั่งรถผมคนนึงจะได้คอยบอกทาง

ตำรวจนายนึงที่ดูท่าทางเป็นมิตรก็ขึ้นมานั่งรถผม

จริงๆ ระหว่างตรวจค้นในบ้านตำรวจก็พยายามคุยเรื่องทั่วไป ผมเข้าใจว่าคงเพื่อให้ผมผ่อนคลายและรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้จะทำร้ายอะไร ซึ่งดูของทุกอย่างในบ้านผมจะเป็นที่สนใจของตำรวจไปหมด

ไม่ว่าจะเป็น แผ่นเสียง เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเสียง ตำรวจบางนายถามผมว่าชอบฟังเพลงอะไร ผมบอกว่าชอบฟังแจ๊ซ แกก็บอกเออผมก็ชอบ วันหลังมาขอฟังบ้างเพราะแกก็เล่นเครื่องเสียง บางคนเห็นจักรยานผมก็สนใจผมก็อธิบายให้ฟังว่าจักรยานที่มันแพงๆหน่อยมันดี กว่าจักรยานธรรมดายังไง บรรยากาศช่วงนี้เหมือนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้านจริงๆ

ช่วงหน้ามาดูว่า เขาสอบสวนผมยังไง หรือมาดูว่าใครสอบสวนใคร
โปรดคอยติดตามด้วยความระทึกในหทัยพลัน
(ขอยืมสำนวนหน่อยนะครับ มติชน ฮา)


********

ตอนที่ 2 เขาสอบสวนผมยังไง

หลังจากขับรถมาถึงที่ตึก DSI แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาผมขึ้นไปข้างบน

ตอน แรกเขาให้ไปที่ห้องหัวหน้า ผมก็ไปยืนรออยู่หน้าห้อง เจ้าหน้าที่ก็แยกย้ายไปตามห้องตัวเอง ผมไม่รู้จะไปไหน ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะทำอะไร ผมเลยยืนมองวิวข้างนอก

ฝน กำลังจะตกเมฆตั้งเค้าทะมึนดำทั่วท้องฟ้า แต่ที่ขอบฟ้าด้านหน้าผมกลับมีแสงส่องทะลุเมฆดำลงมาเป็นลำ สวยอย่างประหลาด ผมควักกล้องดิจิตอลตัวเล็กที่พกไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาถ่ายรูป สักพักเจ้าหน้าที่ก็เดินมา เขาเห็นผมกำลังถ่ายรูปอยู่ เขาถามว่าถ่ายอะไร ผมบอกเมฆ สวยดี มันมีแสงส่องลงมาเป็นลำ เจ้าหน้าอีกสองสามคนเดินมาแถวนั้น เลยมาดูเมฆกับผม ผมไม่ได้บอกเขาหรอกว่า ผมเห็นเมฆนั้นแล้วผมคิดอะไร

ใน ความมืดมิดปกคลุมยังมีลำแสงแรงกล้าส่องทะลุ ผืนฟ้าแห่งความจริงกว้างใหญ่ใครพยายามจะเอาความเท็จสกปรกมาครอบงำ ย่อมทำได้ไม่หมดแน่ มันต้องมีสักแแห่งที่ลำแสงแห่งความจริง ทะลุสาดส่องลงมาถึงพื้นดิน


ตัวหัวหน้าก็ออกมาจากห้อง มองเมฆที่ผมดูอยู่แป๊บนึงก็เรียกผมเข้าไปในห้อง เสร็จแล้วเขาก็เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายนึงมา บอกว่านี่ไงได้ตัวแล้ว ปรวยฯ เดี๋ยวลองให้เขาเข้าไปที่ประชาไท และฟ้าเดียวกันให้ดู

นาย ตำรวจนายนั้นแกล้งตีหน้ามึน ถามผมว่าเราเป็นคนโพสเหรอ ผมบอกใช่ เขาถามว่าผมเป็นคนดูแลเว็บเหรอ ผมบอกเปล่า ผมเป็นคนเข้าไปเล่น จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษากันว่าเอาไงดี หมายถึงจะให้ผมไปใช้คอมฯที่ห้องไหนดี

สักพักเจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรก็เดินมาบอกผมให้ไปที่ห้องโน้นดีกว่า จะสวบสวนที่ห้องนั้นด้วย ผมก็เลยเดินตามไป

พอเปิดประตูห้องเข้าไป ในห้องไม่มีใคร เจ้าหน้าท่ีคนนี้หันมาบอกกับผม
พี่ไม่ต้องกลัว ห้องนี้แม่งแดงทั้งห้อง
ผม ก็ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไร เพราะผมก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง ไม่ใช่เรื่องตำรวจมะเขือเทศนะ แต่เป็นเรื่องที่ตำรวจจะใช้จิตวิทยาเวลาสอบสวน ให้รู้สึกว่าเฮ้ยเราพวกเดียว มีอะไรคุยกันได้

แต่อย่างที่บอกผมก็เคยนึกถึงซีนแบบนี้ไว้เหมือน กัน ว่าถ้าผมโดนจับผมจะทำยังไง ผมนึกไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะพูดความจริง เพราะในยามคับขันแบบนี้ขืนไปโกหก ตัวเราเองนั่นแหละที่จะจำไม่ได้ว่าเราโกหกอะไรไป ผมเชื่อในความบุริสุทธิ์ใจของผม ผมไม่ได้ไปโกงใคร ไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ปล้นใคร เพราะฉะนั้นผมจะพูดความจริงที่ผมทำ และจะพูดความจริงที่ผมคิดอย่างไม่ปิดบัง

ผมคิดว่าถึงแม้ ผมอาจจะติดคุก แต่เมื่อวันหนึ่งความจริงปรากฏ มันก็จะถูกบันทึกไว้ว่า ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2553 มีประชาชนพูดความจริงแล้วถูกจับเข้าคุก ถ้าคนที่ลงมือทำเขายังมีชีวตอยู่ ผมก็อยากดูว่าเขาจะทำหน้ายังไง เหมือนกับวันนี้ มีใครสักคนมั๊ยที่กล้าบอกอย่างภูมิใจว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผมเองนี่แหละที่ผูกคอนักศึกษาที่ต้นมะขาม ผมเองนี่แหละที่เอาเก้าอี้ฟาดศพนักศึกษา ผมเองนี่แหละที่เอายางรถยนต์เผานักศึกษา มีใครกล้าพูดมั๊ย


ผม ถามเจ้าหน้าที่คนนั้นว่าอ้าวหัวหน้าไม่ว่าอะไรเหรอ เขาก็บอกว่าไม่ว่าอะไรเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว เขาบอกให้ผมรอที่ห้องนี้ เขาถามว่ากินอะไรมั๊ย ผมบอกว่าก็ดี เพราะผมรู้สึกหิว เขาถามว่าเอาอะไรดี ผมบอกอะไรก็ได้ งั้นสั่งแมคนะเจ้าหน้าที่นายนั้นบอก ผมก็เลยบอกว่างั้นผมเอาชีสเบอร์เกอร์ก็แล้วกัน เขาออกจากห้องไป

ผม มองไปรอบห้องก็เหมือนห้องสำนักงานทั่วไป มีโต๊ะทำงานเรียงกันเป็นแถวชิดผนัง แต่เมื่อหันกลับมามองอีกด้าน ที่ผนังมีผ้าแถบสีแดงเขียนว่า “ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน” ติดอยู่ ผมรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

จาก นั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาในห้อง สี่ห้าคน มีคนใหม่เข้ามาเพิ่ม ดูท่าทางเป็นเซียนคอมพิวเตอร์เพราะเขาจัดการเปิดคอมฯให้ผมเพื่อให้เข้าไปที่เว็บประชาไท แต่ก็ขำดี ก็ตอนนี้ ICT มันบล๊อกเว็บอยู่เลยเข้าไม่ได้

ผม ก็ถามเขาว่าไม่มีโปรแกรมทะลวงเว็บเหรอ DSI น่าจะมีดิ เขาก็ถามผมว่าผมเข้ายังไง ผมก็บอกของผมเครื่องแมคมันมีโปรแกรมอันนึงเข้าได้ แต่พีซีนี่ผมไม่รู้ผมไม่เคยใช้เครื่องพีซี แต่บางทีถึงมีโปรแกรมก็เข้าไม่ได้เพราะช่วงนี้เขาบล๊อกอย่างแน่นหนา คุณก็น่าจะรู้

พวกเขาก็พยายามกันใหญ่อยู่พักนึง สุดท้าย เขาเลยบอกงั้นไปอีกห้องนึงดีกว่า เครื่องห้องนี้โดน
บล๊อกไว้และไม่มีโปรแกรมทะลวง

เขา เลยพาผมไปอีกห้องหนึ่ง คราวนี้เข้าได้ เขาเลยให้ผมลองล๊อคอินเข้าไปในประชาไทให้ดู จริงๆเขาก็รู้หมดละครับว่าผมล๊อคอินอะไร และ พาสเวิร์ดอะไร เพราะตัวหัวหน้าบอกผมเองว่าพาสเวิร์ดคุณนี่โคตรยากเลยตั้งสิบตัวกว่าจะแกะ ได้


จากนั้นเขาก็บอกให้เข้าไปที่เว็บฟ้าเดียวกัน ผมบอกไม่มีแล้วครับฟ้าเดียวกันเขาเปลี่ยนเป็นคนเหมือนกันแล้ว เขาก็ให้ผมเข้าแต่ผมก็เข้าไม่ได้

เขา ถามว่าพาสเวิร์ดอะไร ผมบอกก็พาสเวิร์ดเดียวกันเพราะผมขี้เกียจจำ ผมพยายามเท่าไหร่ก็เข้าไม่ได้ แต่จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตอนนั้นเลย เพราะ ICT มันขยันบล๊อคแล้วไม่รู้มันบล๊อคยังไงบางทีก็ล็อคอินเข้าไม่ได้ หลายคนคงจำได้ว่าช่วงนั้นเว็บเดี้ยงเป็นแถว หรืออาจจะเป็นว่า...ผมนึกขึนมาได้

ผมเลยบอกว่าสงสัยข่าวเรื่องผมโดนจับรั่วแล้วมั้งครับ อาจจะมีใครรู้แล้วลบผมออกแล้วก็ได้

ตัวหัวหน้าเหมือนโดนจี้ใจดำ เขาบอกว่าไม่มีไม่มีทางที่ข่าวจะรั่วได้ พูดเสร็จก็หุนหันออกไป

ตัว คนที่ดูเซียนๆเรื่องคอมฯก็บอกไหนลองอีกที ผมลองหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ เขาเลยบอกว่าเออสงสัยโดนลบออกไปแล้ว ไหนลองเข้าประชาไทอีกทีซิ คราวนี้ผมกลับมาลองประชาไท ปรากฏว่าประชาไทท่เมื่อกี้เข้าได้ คราวนี้ก็เข้าไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าที่รายนี้เลยสรุปว่า โอเคพอแล้ว เข้าไม่ได้แล้วละโดนลบออกจากสมาชิกแล้ว

จังหวะนั้นตัวหัวหน้าก็โผล่ เข้ามาอีกทีด้วยอาการฉุนๆ ถามผมว่าผมได้บอกใครหรือเปล่าว่าโดนจับ ผมบอกเปล่าไม่ได้บอกใคร เขาบอกไม่ได้บอกใครแล้วทำไมมีคนรู้
นี่ ไง มีคนตั้งกระทู้ที่ประชาไท เขาบอกว่าตั้งมาจากออฟฟิสอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้แล้ว แต่นั่นหมายความว่า ที่ DSI สามารถรู้ได้ในทันทีว่าในประชาไท ใครตั้งกระทู้ตอบกระทู้มาจากไหน !


แถมก่อนหน้านี้ตำรวจที่ดูเซิยนๆเรื่องคอมฯก็บอกผมว่า ที่นี่เขารู้ตั้งนานแล้วว่าใครคือปรวย

ซึ่ง นั่นก็สอดคล้องกับที่ตัวหัวหน้าบอกกับผมว่าเขาตามดูผมมานานแล้ว ไปเฝ้าทั้งที่ออฟฟิส ทั้งที่แถวบ้าน ผมนึกในใจโอช่างขยันกันจริงๆ แล้วนี่ถ้าเกิดไม่มีกฎหมายหมิ่นฯแล้ว คนไม่ล้นงานเหรอนี่


จาก นั้นเขาก็พาผมกลับไปที่ห้องเดิม ชีสเบอร์เกอร์ก็มารอท่าแล้ว เขาให้เวลาผมกินอาหารก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวจะเริ่มสอบสวน ผมกินไม่ได้มากเท่าไหร่ด้วยใจจะรีบทำให้จบๆ เหมือนกับว่ามามะ เดี๋ยวเราจะขึ้นสังเวียนกันแล้ว

กินเสร็จเขาก็เริ่มสอบสวนผม โดยมีตำรวจ 4-5 นายนั่งรายล้อมผม และก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนสองคนนั่งในห้องนั้นด้วย

เจ้า หน้าที่ที่ชอบทำหน้ามึนๆ ก็เริ่มถามผม โดยรวมก็ถามว่า ล๊อคอินที่ผมใช้นี่ใช้กี่คน รู้จักใครในเว็บบ้าง ผมเป็นเว็บมาสเตอร์หรือเปล่า ผมมีหน้าที่อะไรในเว็บ

ซึ่งการสอบสวน แบบนี้ก็มองได้สองอย่าง หนึ่งอยากรู้ว่าเรามีขบวนการหรือเปล่า สองถามเพื่อให้มัดว่าล๊อคอินนี้เป็นเราแน่นอนไม่ผิดตัว ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ผมตั้งใจว่าจะพูดความจริง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะถามเพื่อจุดประสงค์อะไรผมก็พูดความจริง ผมบอกล๊อคอินผมเองแหละไม่ได้ใช้ร่วมกับใครและผมเป็นแค่สมาชิก

ก็จบเรื่องเทคนิคไป

คราว นี้มาเรื่องแนวคิด ก่อนจะเริ่มเจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรก็เอาแฟ้มหนาปึกมาเปิดเอกสารที่เขา ปริ้นท์ข้อความที่ผมโพสไว้ที่เวบคนเหมือนกัน มันเป็นรูปลายเซ็นต์ผมในคนเเหมือนกัน ตัวหัวหน้าก็ถามเลย รูปนี้คุณโพสใช่มั๊ย ผมยิ้มเลย รูปนี้แน่ๆที่ตัวหัวหน้าถามผมในรถว่าคุณไปโพสรูปอะไรไว้

ผมเลยถาม กลับว่าแปลกอะไรครับ ผิดกฏหมายด้วยเหรอครับ รูป คมช. เข้าเฝ้าในหลวงมีใครในประเทศนี้ไม่เคยเห็นหรือครับ แกก็ไม่ว่าอะไร แต่ถามต่อแล้วนี่ข้อความนี้ของคุณใช่มั๊ย ผมบอกใช่ครับ ก็มันเรื่องจริงหรือเปล่าละครับ ถ้าไม่มี(เซ็นเซอร์) คนทำรัฐประหารก็ไม่รู้จะเข้าเฝ้าใครตอนทำรัฐประหาร นี่มี(เซ็นเซอร์)ก็ทำให้พวกเขาอุ่นใจ จริงหรือเปล่าครับ

ไม่มีใครตอบอะไร

เขา ยังคงเปิดแฟ้มต่อไป มีอันนึงตั้งแต่ปี 2551 แล้วถามผมว่าอันนี้ผมโพสหรือเปล่า ผมบอกว่าโห..นั่นมันตั้งแต่ปี 51 ผมจะจำได้ยังไงละครับ แต่ว่านี่ชื่อผมแน่ ปรวย salty head แต่จะให้ผมยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านี่ผมโพส ผมยืนยันไม่ได้หรอกครับ

เอาละพอแล้วเขาบอก จากนั้นเขาก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อตรงแผ่นที่มีรูป คมช. เข้าเฝ้าในหลวง

จาก นั้นตัวหัวหน้า ก็เริ่มถามผมว่า ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่า ทำไมคุณถึงคิดว่าสถาบันไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมแทบขำกับคำถามนี้ แต่ก็เหมือนเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนฟัง อย่างน้อยก็ 5-6 คนในห้องนี้แหละน่า


ผมบอกว่า ผมไม่ได้คิดเองเลยครับ ไม่ใช่อยู่ๆผมก็มานั่งคิดเองว่าสถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งกับการเมือง ผมอ่านข่าวครับ ไอ้ข้อมูลที่ผมได้มาก็ไม่ได้ลึกลับพิสดาร หรือมีใครป้อนมาจากใต้ดินที่ไหนหรอกครับ ถ้าท่านอ่านข่าวและจำแม่น วิเคราะห์หาเหตุหาผลเป็น ไม่อคติ ยอมรับความจริง ท่านก็จะคิดแบบผมนี่แหละครับ ผมเริ่มเดินเครื่องด้วยการเกริ่นไปแบบนี้

ตัวหัวหน้าบอกเอ้าไหนว่ามาซิ ไหนในหลวงท่านไปยุ่งยังไง ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมจะเอาข้อมูลนี้ไปเขียนผลวิจัยว่าพวกนี้เขาคิดกันยังไง
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนไฟมันถูกจุดติดในตัวผมแล้วครับ ประนึงว่าผมยืนพูดอยู่กลางสนามหลวงก็ไม่ปาน

ท่าน จำได้มั๊ยครับ ปี 2549 เมื่อเดือนเมษามีเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองลงเลือกตั้งหลายพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคฝ่ายค้านไม่ลงเลือกตั้ง การเลือกตั้งติดขัดเพราะบางเขตคนลงคะแนนไม่พอ
( เซ็นเซอร์)ท่านออกมาตรัสว่ายังไงจำได้หรือเปล่าครับ

ตอนนี้เจ้าหน้าที่ในนั้นทำมึนกันหลายคน ถามว่าท่านพูดกับใคร

ผมเลยเล่าต่อ ท่านพูดกับผู้พิพากษาไงครับ ท่านปรึกษาเป็นทำนองว่า มีทางทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้มั๊ย
การ เลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่มีพรรคเล็กพรรคน้อยลงเลือกตั้งอีกตั้งหลายพรรค พวกนั้นเขาไม่ใช่คนไทยเหรอครับ แล้วท่านเป็นตำรวจท่านไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่า การจะตัดสินอะไรมันต้องมีการสอบสวนตามขบวนการ แล้วจึงตัดสินไปตามขั้นตอน

แต่ นี่ไม่กี่วัน ศาลรวมหัวกันออกมาบอกว่า ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มันไม่ผิดปกติหรือครับ รวมทั้งเอาท่านวาสนาไปติดคุก ท่านเป็นตำรวจเหมือนกันไม่รู้สึกอะไรหรือครับ

แล้วไงต่อ เสียงเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นเขี่ยไฟในตัวผม

แล้ว ไงครับ วันรัฐประหาร นายทหารที่เข้าเฝ้ากำลังทำผิดกฏหมายอาญามาตรา 113 ท่านเป็นตำรวจ ท่านรู้ใช่มั๊ยครับ ผมถามต่อว่า กฎหมายอาญามาตรานี้ยังใช้อยู่หรือเปล่าครับ แล้วการรัฐประหารนี่เป็นประชาธิปไตยหรือครับ มันไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ทำไมท่านไม่ตรัสอะไรบ้างครับ ทำไมกล้าตรัสว่าการเลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นโมฆะได้มั๊ย แต่ไม่กล้าตรัสว่าการทำรัฐประหารไม่เป็นประชาธิปไตยบ้างละครับ

เงียบไม่มีใครตอบอะไร

เอา..แล้ว (เซ็นเซอร์) ละ? มีคนนึงถาม

อันนี้ผมตอบแบบหัวเราะเลยครับ

โห ท่านเคยได้ยินวันตาสว่างแห่งชาติหรือเปล่าครับ แน่นอนตามระเบียบตำรวจต้องทำมึนไม่รู้จัก

งาน ศพน้องโบว์ไงครับ ผมเล่าต่อ น้องโบว์นี่ตายหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่มั๊ยครับ ตอนนั้นพวกพันธมิตรกำลังพยายามจะเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่มัียครับ แล้วในงานศพ YYY ท่านตรัสว่า น้องโบว์เป็นเด็กดีช่วยชาติรักษาสถาบัน แบบนี้มันไม่ชัดหรือครับ แล้วยังจะคลิปที่สนธิ ลิ้มทองกุล พูดเองอีกว่าได้รับของขวัญจากน้องสาว (เซ็นเซอร์)

มีเสียงนายตำรวจที่ทำหน้ามึนตลอดสวนขึ้นมาว่า พูดที่ไหน เมื่อไหร่

ผมตอบไปว่าไม่เคยเห็นคลิปนี้จริงๆหรือครับ เจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรรีบบอกว่า มีครับมี ผมเคยดู
ผมเลยได้ทีพูดต่อ นั่นไงครับ

แล้วไหนจะคดีพันธมิตรทียึดทำเนียบยึดสนามบินอีกไม่มีใครกล้าทำอะไร
ตัวหัวหน้ารีบบอกว่า ก็ไม่ให้ DSI ทำนี่ ถ้าให้ DSI ทำป่านนี้เสร็จไปแล้ว


จังหวะ นี้ผมจำได้แม่นเลย ผมหันขวับมาจ้องตาหัวหน้า แล้วถามว่า จริงหรือเปล่าครับ ท่านกล้าจับพันธมิตรจริงหรือเปล่าครับ ไม่มีเสียงตอบคงมีแต่เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของหัวหน้ากลับมาแทน

ผม ร่ายต่อ คนไทยไม่โง่นะครับ เขาดูออกว่าทำไมมันถึงสองมาตรฐาน ฝ่ายนึงโดนไล่ล่า ฝ่ายนึงทำผิดยังไงก็ได้ ไม่มีใครทำอะไร คนไทยรับรู้เรื่องแบบนี้ได้ง่ายครับ เพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวัน

แท๊ก ซี่ขับรถฝ่าไฟแดงตำรวจจับ แต่ถ้ารถเบนซ์ขับฝ่าไฟแดงตำรวจไม่จับ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะตำรวจกลัวรถเบนซ์ครับ แต่เพราะตำรวจรู้ว่าเบื้องหลังรถเบนซ์นั้นจะมีคนที่เส้นใหญ่อยู่

เหมือน กันครับตำรวจไม่จับพันธมิตรเพราะอะไร คนก็รู้ครับ คนรู้ว่าเบื้องหลังพันธมิตรนั้นมีคนสนับสนุนอยู่ และก็ใหญ่พอที่ตำรวจทหารจะไม่กล้าทำอะไร

ผมยกตัวอย่างนี้ไปได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยครับมันออกไปเองโดยอัติโนมัติ

ที่พูดมาอันนั้นมันก็นานแล้ว แล้วตอนนี้ละท่านยุ่งยังไง


ทหารที่ยิงประชาชนตายนี่ทหารหน่วยไหนครับ?
ทหารที่ส่งมาอารักขาอภิสิทธิ์นี่ทหารหน่วยไหนครับ?
วันก่อนมีรูปลงในเว็บ เห็นท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ไปนั่งไปนั่งในราบ 11 ไปทำไมครับ?


อันนั้นรูปตัดต่อได้มั๊ย หัวหน้าแย้ง

ไม่น่าครับ ใครจะถ่ายรูปด้านหลังเก็บไว้แล้วเอาไปตัดต่อครับ
ฯลฯ

สบายใจมั๊ยได้พูดหมดแล้ว หัวหน้าคนนั้นถามผม
ผมบอกก็ดีครับ เพราะผมก็ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับใคร

แต่ยังไงมันก็ผิดกฏหมายนะ คุณรู้ใช่มั๊ย ยังไงประเทศนึงมันต้องมีสถาบันหลักเป็นหลักของประเทศ
ผมถามว่าแล้วจะเป็นหลักได้ไงครับ เมื่อไม่ยุติธรรม จะสงบสุขปรองดองได้มันต้องยุติธรรมก่อน


ตอนนี้เหมือนผมขึ้นธรรมาสน์เลย

ผมแปลกใจประเทศเราเป็นเมืองพุทธซะเปล่า ปากก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้หลักเหตุและผล
พระ พุทธเจ้าท่านก็บอกว่าทุกข์ให้ดับที่เหตุ คุณไม่อยากให้คนวิจารณ์สถาบัน แต่ปล่อยให้สถาบันลงมายุ่งการเมือง ปล่อยให้อีกฝ่ายเอามาอ้างทำลายอีกฝ่าย แล้วคุณมาไล่จับคนวิจารณ์ ผมถามว่ามันจะหมดมั๊ยครับ คุณจะจับหมดมั๊ยครับ


แต่ ว่าคุณไปโพสยังงั้นมันก็ผิด คือคุณเข้าใจมั๊ยว่ามันมีกฎหมายอยู่ เอางี้ซิคุณได้พูดแบบนี้แล้วคุณสบายใจ ตอนหลังก็ไม่ต้องไปโพส ก็ไปพูดกับเพื่อนอะไรไป

เพื่อนผมแม่งเหลืองหมด ผมบอก ผมไม่รู้จะไปพูดกับใคร

แต่จริงแล้วมันก็ไม่เกี่ยวครับ คือผมนี้ไม่มีส่วนได้เสียกับวิกฤตินี่เลย

ท่านไปบ้านผมก็ห็นแล้ว ผมนี่โคตรชนชั้นกลางเลย ชีวิตถ้าไม่มายุ่งกับเรื่องนี้ก็โคตรสบายเลย
ทำงานมีเงินใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลาง สบาย มีตังค์ก็ไปกินเหล้า เที่ยวผับ ตีหม้อ เลี้ยงเด็ก ช้อปปิ้ง
รากหญ้า ชาวบ้านจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องสนใจ เพราะกูเป็นชนชั้นกลาง
เอามั๊ยละ ท่านอยากให้พลเมืองของประเทศเป็นแบบนั้นหรือเปล่าเอามั๊ยละ
ให้พลเมืองของประเทศไม่ต้องสนใจบ้านเมือง หาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว เอามั๊ย
ผมประชด

นายตำรวจที่ทำมึนๆมาตลอดบอกว่า เออ คุณมีความคิดดีนะ
แต่ผมรู้เลยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ “แต่มันก็ผิดกฏหมาย” เขาไม่ได้พูดหรอก แต่ผมรู้ว่าเขาคิดแบบนั้น


คือผมเข้าใจพวกเขาเลย ไม่ได้ว่าอะไรเลยที่ไปจับผม เพราะที่ฟังเขาพูดมาสองสามเที่ยว
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าอะไรมันเป็นยังไง แต่สุดท้ายก็เข้าที่เดิมยังไงมันก็ผิดกฏหมาย

เพราะผมได้ยินคำพูดนี้มา ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ในวันที่พวกเขามาจับผม
เมื่อผมพูดอะไร เขาก็จะอ้างอย่างเดียวว่า
“แต่ว่า...ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย”


หลัง จากสอบสวนเสร็จ เขาก็ปล่อยผมกลับบ้าน บอกว่าให้รอหมายเรียก แล้วก็เดี๋ยวจะโทรบอกให้มาเอาคอมฯคืนไปหลังจากได้ทำการ copy ทุกอย่างจากคอมฯผมและคอมฯน้องสาวไว้หมดแล้ว

หลังจากนั้น อาทิตย์ต่อมาเขาก็เรียกให้ไปเอาคอมฯคืน
ต่อมาก็ให้ไปเอาฮาร์ดิสก์คืน รวมทั้งหนังสือท่านปรีดีด้วย

มี วันนึงที่ผมไปเอาฮาร์ดิสคืน เจ้าหน้าที่หนุ่มๆนายนึง ที่ผมดูว่ายังไม่มีตำแหน่งสูงนักเดินมาส่งผมที่ลิฟท์ ระหว่างรอลิฟท์ผมก็เลยคุยกับเขา ผมบอกว่าดีนะทำงานที่นี้ไม่ต้องใส่ชุดตำรวจ เขาบอกก็ดีครับ แต่งเหมือนพนักงานออฟฟิส แต่ผมชอบใส่เสื้อโปโล แต่มีปัก DSI ไปไหนช่วงนี้ก็ต้องระวังหน่อย

นี่ทำงานแบบนี้ต้องนั่งเฝ้าหน้า คอมฯทั้งวันเลยซิผมถามเขา ผมรู้เพราะวันที่ผมพยายามเข้าเว็บไม่ได้ ก็มีตำรวจนายอื่นแซวเจ้าหน้าที่หนุ่มคนนี้ว่า ให้ไอ้นี่เข้าดิมันนั่งอ่านทั้งวันแหละ เขาตอบครับก็นั่งอ่านเว็บดูทั้งวันแหละครับ

เสียงลิฟท์มาพอดี ผมขยับจะเดินเข้าลิฟท์ เขาก็เดินตามมาและก่อนผมจะทันเข้าไปในลิฟท์ เขาก็พูดกับผมว่า ผมอ่านแล้วผมก็ชอบแนวคิดของพี่นะ แต่ว่า....ยังไงมันก็ผิดกฎหมาย

ผมหันไปมองหน้าเขา ไม่ตอบอะไร จนลิฟท์ปิดและเลื่อนลงมา

อืมม...คุณอยู่ในประเทศนี้ คุณพูดความจริงได้ แต่..ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย
เจริญพะย่ะค่ะ


หลังเหตุการณ์ที่ผมโดนจับกุม ผมก็หยุดโพสไปเลย กะว่าจะใช้ชีวิตเงียบๆ
แต่เมื่อติดตามข่าวเหล่านี้


บก.ลายจุด ไปผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์โดนจับ
นที สิวารี ไปยืนตะโกนที่ราชประสงค์โดนตำรวจนอกเครื่องแบบอุ้มไปขัง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็เถอะ
เด็กนักเรียนอายุ 16 ปี ไปยืนถือป้ายต้าน พรก. ที่เชียงราย ตกเย็นตำรวจไปค้นที่บ้าน
โดนตำรวจเรียกไปสอบ


ผมคิดว่ามึงจะมากไปแล้ว ผมคิดว่าผมควรจะกลับยืนยันสิทธิของพลเมือง
ว่าการเป็นพลเมืองของประเทศนี้ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก

หมายเหตุ:

นี่เป็นเศษเสี้ยวหนึ่ง ของเหตุการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยวิธีธรรมดา
ซึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่วิธีธรรมดาเช่นนี้
ในประเทศนี้ก็ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น


การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
จะเป็นปัญหาต่อประเทศที่มีคนมากกว่าหกสิบล้านคนยังไง
การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
จะเป็นอุปสรรคในการพยายามที่จะสร้างความปรองดองในประเทศยังไง
การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ทำให้ประเทศนี้เดินบิดเบี้ยวมายังไงและจะเดินบิดเบี้ยวต่อไปยังไง

โปรดติดตามในโอกาสต่อไป โดยไม่ต้องระทึกในดวงหทัยพลัน
เพราะซีรียส์เหล่านี้จะเป็นเรื่องยาว
จนกว่าเสรีภาพและความเป็นธรรมจะปรากฏขึ้นในประเทศนี้

ขอความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ จงมีแด่เพื่อนผู้รักเสรีภาพและประชาธิปไตย
และเพื่อนผู้มีจิตใจโอบอ้อมต่อคนที่มีความยากลำบากกว่าตน
 

©2010 กลุ่มแดงหลังตู้เย็น

ดาวน์โหลด pdf creator : Discount Cordless Screwdriver : Online Condom Store : Strathwood Chair Shop